
สังคมไทยได้คำตอบแล้วที่ “นายกฯ เศรษฐา” ปฏิเสธเรื่องกรอบเวลาแก้ไข รธน. และเปิดทางเลือกตั้งภายใต้กติใหม่ เหตุผล...กรอบเวลาที่ยื้อในการแก้ไขฯ ใกล้เคียงกับอายุรัฐบาล 4 ปี จึงอย่าแปลกใจ หากพรรคเพื่อไทยจะใช้แนวทาง “ปากว่า ตาขยิบ ขาขยับ(ถอย)” ไปเรื่อยๆ ดีกว่าจะทำให้เสร็จเร็ว เพื่อไปพ่ายแพ้ในเวทีเลือกตั้งครั้งใหม่
…………………….
เทหมดหน้าตัก! ฟังแล้วดูดีมาก สำหรับวลีที่ออกจากปากของคนเป็น “หัวหน้ารัฐบาล - ผู้นำประเทศ” อย่าง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ที่ตอนหนึ่ง...ได้พูดถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 บนเวที THAIRATH FORUM 2023 FUTURE PERFECT "เปิดมุมคิด พลิกอนาคต" เมื่อช่วงสายวันที่ 18 ก.ย.2566 ที่ผ่านมา

แม้เจ้าตัวไม่รับปากว่า...กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเจ้าปัญหา “ผลพวง - เผด็จการ” จะแล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่พรรคเพื่อไทย เคยหาเสียงเอาไว้ นั่นคือ จะแก้ไขฯ ให้แล้วเสร็จภายในเวลา 2 ปี – 2 ปีครึ่ง จากนั้น...จะคืนอำนาจให้ประชาชน เลือกตั้งกันใหม่ ภายใต้กติการใหม่ ที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่าเก่า...
ที่สุด! ควรจะใช้เวลาเท่าใด? และไม่รับปากด้วยว่า...ยุบสภาฯ ทันที! เปิดโอกาสให้คนไทย...ได้เฉลิมฉลองประชาธิปไตยฉบับประชาชนหรือไม่?
แม้ว่า... "การแก้ไขรัฐธรรมนูญ" จะะเป็นหนึ่งในโยบายหาเสียงทางการเมือง และบรรจุอยู่ในคำแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา ก็ตาม...
แต่ที่แน่ๆ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อย่าง “หมอชลน่าน ศรีแก้ว” รมว.สาธารณสุข ออกมาปฏิเสธก่อนหน้านี้ ว่า...ตัวเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องหากแก้ไข รธน. เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จแล้ว รัฐบาลจะคืนอำนาจให้ประชาชน...เลือกตั้งใหม่

กระทั่ง “ด้อมส้ม” เครือข่ายพรรคก้าวไกล หยิบเอาวลีที่ “หมอนักการเมือง” คนนี้...เคยพูดไว้ และสื่อทีวีบางช่อง (เวิร์กพ้อยท์ ช่อง 23) ถอดความออกมา (ดูภาพประกอบบทความ)
นั่นแหล่ะ...ถึงทำเอาเจ้าตัวที่แทบไม่เหลือเครดิตในทางการเมือง เพราะพูดไม่อยู่ในร่องรอย?...ยิ่งตอกย้ำอาการสูญเสียสถานะความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นไปอีก
ยังดี! ที่วันนี้...หัวหน้าพรรคฯ ไม่ใช่เขาอีกแล้ว ไม่งั้น...เครดิตของพรรคแกนหลักของ “รัฐบาลเศรษฐา” ก็คงจะสูญเสียความน่าเชื่อถือตามๆ ไป
เมื่อสิ่งที่คนเป็น “หัวหน้ารัฐบาล” พูดไม่เคลียร์! ทุกอย่างจึงยังคงอึมครึม! กันต่อไป
กระนั้น นายกฯ เศรษฐา ได้โยนเรื่องไปให้ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ผู้รับผิดชอบในการแต่งตั้ง คณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ ที่ต้องยึดโยงกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ...ลูกไปต่อ!

และเมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา “ภูมิธรรม” ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวถึง แนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการจัดตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ…
“พยายามติดต่อคนที่จะมาเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการฯ โดยได้คุยถึงหลักการที่จะแก้ไขให้สำเร็จและเสร็จภายในอายุรัฐบาล จะเป็น 3 ปีถึง 3 ปีครึ่งก็แล้วแต่ แต่จะทำให้เร็วที่สุด ซึ่งการเรียนเชิญผู้ที่เป็นคณะกรรมการฯ เราได้วางหลักการเอาไว้ว่า อยากให้ปมปัญหาความขัดแย้งเดิมๆ สลายไป และไม่อยากสร้างปมขัดแย้งใหม่ขึ้นมา โดยจะใช้วิธีการให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเพื่อดำเนินการทำประชามติ”
“ภูมิธรรม” คาดหวั่งว่า จากนี้ไม่เกิน ภายใน 3-4 เดือน หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ควบคู่ไปกับการจัดตั้งคณะกรรมการฯ ตนจะพยายามเร่งทำให้เกิดประชามติ เพราะการทำประชามติ ถ้า ครม. มีมติชัดเจนก็จะทำให้กระบวนการรองรับและดำเนินการเกิดได้เร็วขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ต้องหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทราบเหตุและผลการจะแก้ไขฯ ตนไม่อยากให้มีประชามติและร่างรัฐธรรมนูญที่แล้วเสร็จ แต่ไม่ผ่านการพิจารณากันอีก
นโยบายรัฐบาลที่ได้ประกาศเอาไว้ชัดเจน...จะยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยคงมาตราหมวด 1-2 เอาไว้ โดยไม่แตะในเรื่องพระราชอำนาจที่อยู่ในมาตราต่างๆ แต่นอกนั้นทำได้หมด เพื่อทำอย่างไรให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั้ง แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรืออีกหลายๆ อย่างที่เขียนมาแล้วจะเป็นอุปสรรต่อความเป็นประชาธิปไตยและการบริหารราชการแผ่นดิน
สำหรับ คณะกรรมการชุดดังกล่าวจะมี...ตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ ตัวแทนวิชาชีพ iLaw ตัวแทนภาคประชาสังคมมา ตัวแทนสื่อมวลชน สมาคมทนายความ นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆ ด้าน แต่ไม่เกิน 20-30 คน เพราะไม่อยากให้เป็นคณะที่ใหญ่เกินไป เพื่อให้การทำงานมีความคล่องตัว
“บางคนได้ติดต่อไปและตอบรับเรียบร้อยแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะนำเสนอรายชื่อคณะกรรมการฯ เข้าสู่ที่ประชุม ครม. ภายในวันอังคารที่ 26 ก.ย.นี้ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งได้ แต่หากไม่ทันจะเป็นสัปดาห์หน้าก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ต้องรวบรวมรายชื่อและทุกฝ่ายให้เข้าใจและเห็นตรงกันก่อน”
“ภูมิธรรม” ย้ำว่า...ตนจะทำหน้าที่ “ประธานคณะกรรมการฯ” ซึ่งเป็นไปตามมติของ ครม. ส่วนรายชื่อเลขาธิการนั้น ขอพิจารณาจากรายชื่อทั้งหมดก่อน
ถึงตรงนี้ ชัดเจนว่า...การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะไม่จบภายในเวลา 2 – 2 ปีครึ่ง อย่างแน่นอน หากฟังน้ำเสียงจาก...คนที่จะเป็น “ประธาน” คณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติแล้ว นานสุด...ก็คือ 3 ปีครึ่ง
สิ่งนี้ ได้ถูกตอกย้ำอีกครั้ง! จาก “ชูศักดิ์ ศิรินิล” รองหัวหน้าพรรคฯ และมือกฎหมายพรรคเพื่อไทย ที่เคยให้สัมภาษณ์กับ สื่อค่ายเนชั่นทีวี ถึงกรอบเวลาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เอาไว้อย่างน่าสนใจ กล่าวคือ…

หลุดจากการแต่งตั้ง...คณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ กระทั่งนำสู่การทำประชาพิจารณ์จากประชาชน จากนั้น...ถึงคิดจะต้องเร่งยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (ยกร่างทั้งฉบับ ยกเว้นหมวดพระมหากษัตริย์) ก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุมสภา เพื่อทำประชามติ เลือกตั้ง สสร. และ รับฟังความเห็นฯ ต่อด้วยการทำประชามติอีกครั้ง
เบ็ดเสร็จก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข คนไทยจะต้องรอเวลายาวนาน 3 ปีครึ่ง - 4 ปี กันเลยทีเดียว!!!
มิน่า...นายกฯ เศรษฐา ถึงไม่ตอบคำถามของ “วิทยากร” ตัวแทนสื่อไทยรัฐ ถึงระยะเวลาการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นั่นเพราะ...กว่าจะแก้ไขจนแล้วเสร็จ ก็คงพอดีกับ 4 ปีของอายุ “รัฐบาลเศรษฐา”
ยื้อไม่ยื้อ! สังคมไทยคิดกันเองได้ แต่สำหรับ “ภูมิธรรม” คนเจนจัดในเรื่องการเมือง ออกมาปฏิเสธแล้วว่า...หากรัฐบาลคิดจะยื้อเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจริง คงไม่เร่งจัดตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ และชงเรื่องให้ ครม.รับไปพิจารณา เพื่อดำเนินการสั่งการไปยัง กกต. ให้มีการจัดทำประชามติ อย่างแน่นอน
หากคิดจะยื้อ? สู้ชงเรื่องไปให้รัฐสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาไม่ดีกว่าหรือ? วิธีนี้...ใช้เวลายาวนานและไม่แน่ว่า...จะไปต่อได้อีกหรือไม่?
ฟังดูก็มีเหตุผลในระดับที่พอรับฟังได้? แต่จะให้ดี..ลองฟังจากปากของชายคนนี้ “จาตุรนต์ ฉายแสง” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย...

เขาชี้ว่า...การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เป็นเรื่องสำคัญที่พรรคเพื่อไทย ตั้งแต่...ไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย ถือเป็นนโยบายหลักมาตลอด เราคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญที่ยกร่างโดยคณะรัฐประหาร จึงต้องรักษาจุดยืนนี้ไว้
ส่วนที่พูดกันว่า...พรรคเพื่อไทยยอมเทหมดหน้าตัก! ความจริงแล้ว ก็ยังไม่หมดหน้าตักเสียทีเดียว เพราะพรรคฯ ยังมีนโยบายแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ ที่จะทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยและกลับคืนสู่การยึดหลักนิติธรรม
แต่ถ้าเราไม่ทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง นั่นแหละจะหมดหน้าตักจริงๆ!!!
ขนลุก! คนกันเอง...วิพากษ์กันเองแบบพูดนิ่มๆ แต่เชือดเฉือนกันลึกไปถึงลำไส้ใหญ่-เล็ก ประมาณว่า...พูดแล้วก็ต้องทำ และทำจริงๆ จังๆ ไม่ใช่...แก้ไขรัฐธรรมนูนในแบบ...
“ปากว่า ตาขยิบ ขาขยับ(ถอย)” ประโยคนี้...“จาตุรนต์” ไม่ได้พูด “สำนักข่าวเนตรทิพย์” พูดเอง...
แต่เราพูดจาก...ภาพสะท้อน “สู้พลาง ถอยพลาง” ของนายกฯ เศรษฐาและพรรคเพื่อไทย ที่เราและสังคมไทย ได้รู้เห็นกันในวันนี้...
ถึงบรรทัดนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ขอฟันธง! ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้...ไม่ได้อยู่ที่แก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องใช้เวลานานแค่ไหน? แต่ยังมีปมเรื่องการเลือกตั้งหลังจากนั้น ที่ไม่แน่ว่า...รอบหน้า พรรคเพื่อไทยจะเหลือหลุดรอดเข้าสภาฯ มาสักกี่ชีวิต และยังจะได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลอีกหรือไม่?
ฉะนั้น สู้ยื้อให้นานที่สุด แก้ไข! นะแก้ไข...แต่จะให้เสร็จไวๆ เพื่อกลับมาพ่ายแพ้เกมการเลือกตั้งต่อพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้งสมัยหน้านั้น...
สู้ทำพฤติกรรม “ปากว่า ตาขยิบ ขาขยับ(ถอย)” ไปพลางๆ ไม่ดีกว่าหรือ? อย่างน้อย...ก็ได้บริหารประเทศครบ 4 ปี แถมยังไม่เสียสัตย์เรื่อง “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” อีกด้วย!!!