
"พิพัฒน์" เคาะโอนรถไฟฟ้าทุกสายให้ รฟม. คุมเบ็ดเสร็จแบบองค์รวม (Single Ownership) หลังมติบอร์ดค่าโดยสาร - คจร. ไฟเขียวเดินหน้าโอนรถไฟฟ้า "สีเขียว-แดง" ก่อนจ้างเอกชนเดินรถ มอบ "คลัง" หาแนวทางเหมาะสมซื้อคืนสัมปทาน พร้อมเปิด 2 แนวทางซื้อคืน ออกพันธบัตร-เซ็งลี้สัมปทานให้เอกชนกู้เงินมาจ่ายให้ก่อน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าแบบองค์รวม (Single Ownership) รวมทั้งให้รับโอนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก สายสีเขียวส่วนต่อขยาย สายสีทอง และสายสีแดง รวมถึงรายได้และภาระหนี้สินของโครงการดังกล่าว ตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้ รฟม.เร่งดำเนินการจัดทำสรุปผลการศึกษา วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าของการดำเนินการ โดยเปรียบเทียบปริมาณผู้โดยสารและรายได้ที่เพิ่มขึ้น กับภาระค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องชดเชยหรือสูญเสียรายได้ รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้รายได้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าในอนาคตเป็นแหล่งเงินทุนในการชดเชยเอกชน เพื่อให้โครงการรถไฟฟ้าแต่ละสายสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยไม่ก่อให้เกิดภาระต่อการคลังและไม่เป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับ มติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 เพื่อผลักดันระบบตั๋วร่วมและค่าโดยสารร่วม โดยจะนำมติดังกล่าวเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเห็นชอบในหลักการไว้ก่อน โดยพยายามจะนำเสนอ ครม.ภายในสัปดาห์นี้หากไม่ทันจะเสนอในสัปดาห์ต่อไป
#เปิด 2 แนวทางซื้อคืนสัมปทาน
ส่วนการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้านั้น ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมและไม่เป็นภาระหรือเพิ่มหนี้สาธารณะ โดยให้เร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางราง (ขร.) รฟม. สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นต้น ซึ่งเบื้องต้นจากที่ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มี 2 แนวทาง คือ 1. การออกพันธบัตร (บอนด์) เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) เป็นการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินไปซื้อคืนสัมปทานจากเอกชน หรือ 2. ให้สัมปทานเอกชนโดยกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เอกชนนำสิทธิในสัมปทานไปกู้เงินจากสถาบันการเงินมาจ่ายให้ก่อนรัฐทยอยจ่ายคืนในภายหลังพร้อมดอกเบี้ย จากนั้นจะทำสัญญาจ้างเดินรถกับเอกชนแบบ PPP Gross Cost ระยะเวลาประมาณ 30 ปี โดยเอกชนจัดเก็บค่าโดยสารส่งรัฐ
"เบื้องต้น รฟม. ได้มีการศึกษารายละเอียดของแต่ละสายและต้นทุนในการดำเนินการไว้แล้ว แต่จะมีตัวเลขการซื้อคืนสัมปทานของแต่ละสายเท่าไร ต้องรอผลการหารือที่มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปดำเนินการก่อน ซึ่งเรื่องการซื้อคืนสัมปทาน ยังต้องมีการเจรจากับเอกชนที่ได้รับสัมปทานให้ได้ข้อสรุปเสียก่อน คงไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ เพราะทางคลังคงต้องใช้เวลาสักระยะ"

ขณะเดียวกัน รฟม. มีการหารือเบื้องต้นกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เอกชนผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว กรณีการซื้อคืนสัมปทานไปบ้างแล้ว ทางเอกชนไม่ขัดข้องแต่ราคาซื้อคืนต้องเหมาะสม ในมุมของเอกชนทำธุรกิจก็คงต้องดูผลกำไรเป็นเรื่องปกติ ส่วนภาครัฐอาจจะทำได้แค่เสมอตัวหรือบางทีอาจต้องยอมขาดทุนบ้าง เนื่องจากต้องให้บริการที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน อย่าหวังว่าเมื่อซื้อคืนมาแล้วรัฐจะทำกำไร เพราะระบบขนส่งมวลชนแค่ไม่ขาดทุนถือว่าเก่งมากแล้ว
#รฟม. ขานรับพร้อมคุมเบ็ดเสร็จ
นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า รฟม. ได้มีการศึกษาและวิเคราะห์ตัวเลขที่เกี่ยวข้องสำหรับแนวทางการซื้อคืนสัมปทาน และจ้างเอกชนบริหารการเดินรถ พบว่า ระยะเวลา 30 ปี สามารถดำเนินการได้ในการจ่ายคืนค่าสัมปทานให้เอกชน ซึ่งรถไฟฟ้าที่ต้องซื้อคืนจะเป็นโครงการที่เป็นสัญญาแบบ PPP Net Cost

อย่างไรก็ตาม รูปแบบและระยะเวลาในการดำเนินการจะรอผลการหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง รวมถึงการเจรจากับเอกชนด้วย เนื่องจากรถไฟฟ้าแต่ละเส้นทางจะมีรูปแบบการบริหารจัดการต่างกัน อาทิ รถไฟฟ้าสายสีเขียว กทม. เป็นคู่สัญญากับสัมปทานกับเอกชน ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย กทม. มอบให้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นวิสาหกิจของ กทม. เป็นคู่สัญญาว่าจ้างเอกชนเดินรถ ส่วนรถไฟฟ้าสายสีแดง รฟม. สามารถเจรจา รฟท. ในฐานะหน่วยงานรัฐด้วยกันได้โดยตรง จะมีประเด็นเรื่องทรัพย์สินของโครงการจะโอนด้วยหรือไม่ ทั้งหมดต้องรอผลการศึกษาจะออกมาในรูปแบบใด โดยใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 ปี
"อย่างไรก็ตาม จากการหารือร่วมกับ กทม. และ รฟท. เบื้องต้นไม่ขัดข้องแต่อย่างใด ทั้งนี้ นายพิพัฒน์มอบนโยบาย รฟม. ให้ดำเนินการทยอยรับโอนให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี ระหว่างปี 2569-2570”

#แนะ กทม. ระงับการศึกษาแนวทางบริหารสายสีเขียวส่วนหลัก
ส่วนกรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนหลักที่สัมปทานจะหมดอายุในปี 2572 และกรุงเทพมหานคร (กทม.) อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการบริหารในอนาคตนั้น นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้มติที่ประชุมฯ และนโยบายโอนโครงการมาให้ รฟม. เป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการซื้อคืนสัมปทาน และหากผ่าน ครม. ทาง กทม. ก็คงต้องหยุดการศึกษา PPP สายสีเขียวส่วนหลักทันที
