
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมา สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) พร้อมเครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายภาคประชาชน ได้เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อคัดค้านการควบรวมธุรกิจระหว่าง ทรู กับดีแทค ด้วยเชื่อว่า ที่สุดแล้วจะทำให้เกิดการผูกขาด ประชาชนจะเข้าถึงบริการในราคาที่แพงขึ้น เพราะมีงานวิจัยและผลศึกษาชี้ชัดว่าเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ

โดย นายมานพ เกื้อรัตน์ เลขาธิการ สรส. กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สถานการณ์ผูกขาดด้านบริการสื่อสารโทรคมนาคมอันจะส่งผลกระทบกับประชาชนอย่างแน่นอน จากกรณีที่บริษัทสื่อสาร 2 รายอย่าง ทรูและดีแทค ประกาศควบรวมธุรกิจ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสาธารณะซึ่งประชาชนคนไทยทุกคนเป็นเจ้าของและมีสิทธิเสรีภาพที่จะได้ใช้บริการได้อย่างเหมาะสม แต่ที่ผ่านมา รัฐบาล ได้นำเอาคลื่นความถี่เหล่านี้ไปให้เอกชนบริหารจัดการผ่านองค์กรอิสระ กสทช. ซึ่งไม่ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนอย่างชัดเจน ทำให้ที่ผ่านมา คลื่นความถี่ส่วนใหญ่ที่ประชาชนมีการใช้งานโทรศัพท์มือถือมากกว่า 150 ล้านเลขหมาย ตกอยู่ภายใต้การจัดการของเอกชน 3 ค่าย เท่านั้น ในขณะที่กิจการของรัฐเดิมไม่สามารถประมูลแข่งขันได้ ด้วยเงื่อนไขจำกัด ประกอบกับรัฐไม่ได้สนับสนุน ส่งเสริมและไม่ได้จัดสรรงบประมาณให้

เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ที่ปริมาณลูกค้าอิ่มตัว สัดส่วนเลขหมายกับประชากรผู้ใช้เริ่มมีจำกัด เอกชนผู้กุมคลื่นความถี่กลับมีข้อสรุปว่า ไม่รู้จะแข่งกันไปทำไม พร้อมออกแนวนโยบายที่จะควบรวมกัน ซึ่งแน่นอนว่า หากกระทำการควบรวมสำเร็จ ก็จะเกิดสภาวะผูกขาด ทำให้ประชาชนต้องได้รับผลกระทบจากค่าบริการที่มีราคาแพงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย สรส. และเครือข่าย จึงต้องเดินหน้าคัดค้านในการควบรวมครั้งนี้อย่างถึงพริกถึงขิง เพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของประชาชน ไม่ให้ถูกเอาเปรียบ และในวันที่ 20 ต.ค.นี้ ทั้ง สรส. และ ครส รวมถึงองค์กรพิทักษ์สิทธิ์ผู้บริโภค ตลอดจนภาคประชาชนจะติดตามการพิจารณาของบอร์ด กสทช. และจะเดินหน้าคัดค้านการเคาะดีลควบรวมในครั้งนี้อย่างถึงที่สุด
