
แล้วโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ "ดิจิทัลวอลเลต" ก็แปลงร่างเป็น "เค้ก" ก้อนยักษ์ให้หน่วยงานรัฐถลุงมันมือ ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจตามหลักการที่ "สศช.-ธปท." เสนอแนะให้เน้นสร้างความเข้มแข็งให้กิจการเอสเอมอี (SME) และภาคอุตสาหกรรมการผลิต-ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร มีนโยบายให้ชะลอโครงการแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน "ดิจิทัลวอลเลต" ด้วยข้ออ้างผลกระทบทางเศรษฐกิจจากพิษ "ภาษีทรัมป์" โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 เห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท และมอบให้หน่วยงานต่างๆ เร่งจัดทำคำขอใช้งบประมาณเสนอมายังสำนักงบประมาณผ่านระบบ New e-Budgeting เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมประชุม ครม. ภายในวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะนำเสนอต่อที่ประชุมครม.พิจารณาภายในวันที่ 10 มิ.ย.นี้

#คมนาคมนำโด่ง สร้างทาง 8 หมื่นล้าน
จากการตรวจสอบคำขอของหน่วยงานต่างๆ พบว่า กระทรวงคมนาคมได้จัดทำโครงการก่อสร้างถนนสายหลัก-สายรองก่อสร้างสะพานและโครงการบำรุงทางวงเงินรวมกว่า 80,000 ล้านบาท โดยพบว่า กรมทางหลวงมีการนำเสนอคำของบประมาณซ่อม-สร้างถนนกว่า 4,300 โครงการ วงเงินกว่า 40,000 ล้านบาท หรือกว่า 50% ตามมาด้วยกรมทางหลวงชนบทที่เสนอขอใช้งบ 3,800 โครงการ วงเงินกว่า 37,000 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงข่ายถนนสายรอง
โดย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้สรุปโครงการที่ต้องการขอรับงบประมาณจากโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดังกล่าววงเงินประมาณ 80,000 ล้านบาท โดยมีกรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เป็นหน่วยงานหลักและมีโครงการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กรมเจ้าท่า (จท.) ร่วมด้วย

ทั้งนี้ ได้ให้หน่วยงานที่เสนอขอรับงบประมาณดังกล่าว พิจารณาโครงการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกำหนด เช่นต้องเป็นโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน แต่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2569 เป็นโครงการที่มีความพร้อมสามารถประมูลจัดซื้อจัดจ้างและผูกพันสัญญาเสร็จภายในปีงบประมาณ 2568 หรือในเดือน ก.ย.2568 เป็นต้น
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในคำขอตั้งงบขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกระทรวงคมนาคมนั้น มีโครงการของกรมทางหลวงที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 4,300 โครงการ วงเงินประมาณ 41,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1. โครงการด้านการบำรุงรักษาทางหลวง จำนวน 1,900 โครงการ , 2. โครงการด้านเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับความปลอดภัยบนทางหลวงจำนวน 2,000 โครงการ และ 3. โครงการก่อสร้างทางเชื่อมสายหลัก-สายรองระยะเวลาดำเนินงานปีเดียว โดยคัดกรองโครงการที่มีความจำเป็นและมีความพร้อมตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังวางไว้ ที่ต้องพร้อมเปิดประมูลและดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี โดยมีมูลค่าเฉลี่ยสัญญาละ 10-20 ล้านบาท

ด้านกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้เสนอคำขอรับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 3,800 รายการ วงเงิน 37,384 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 โครงการ คือ 1. การบำรุงรักษาโครงข่ายทางหลวงชนบทจำนวน 1,740 รายการ วงเงิน 17,063 ล้านบาท 2. การอำนวยความปลอดภัยและปรับปรุงแก้ไขบริเวณเสี่ยงอันตราย 1,634 รายการ วงเงิน 10,777 ล้านบาท และ 3. โครงการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจำนวน 431 รายการ วงเงิน 9,543 ล้านบาท โดยกรมทางหลวงชนบท ประเมินว่าจะเกิดการจ้างงานจำนวนกว่า 237,000 คน และคาดว่าจะทำให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางสัญจรประหยัดระยะเวลาการเดินทาง จากการบำรุงรักษาทางให้กลับสู่สภาพดี มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ เพิ่มโอกาสการแข่งขันด้านเศรษฐกิจ ลดฝุ่นละอองสองข้างทางจากถนนที่เสียหายไม่ได้รับการบำรุงรักษา
#มหาดไทยไม่น้อยหน้า 7.9 หมื่นล้าน
ขณะที่กระทรวงมหาดไทยได้ยื่นคำขอใช้งบประมาณในโครงการต่างๆ มากที่สุด รวม 21,259 โครงการ วงเงิน 79,960 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. ส่วนราชการระดับกรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาจำนวน 657 โครงการ วงเงิน 16,884 ล้านบาท 2. ส่วนราชการระดับจังหวัด 5,221 โครงการ วงเงิน 25,647 ล้านบาท 3. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 15,381 โครงการ วงเงิน 37,428 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างทาง และซ่อมบำรุงทางขององค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) กระจายอยู่ในทุกระดับ ซึ่งล้วนเป็นโครงการที่ซ้ำซ้อนกับงบประมาณปกติที่หน่วยงานต่างๆ ขอตั้งงบอยู่ในงบประมาณรายจ่ายปกติอยู่แล้วแต่ถูดตัดออกไป หรือไม่ได้รับจัดสรรเต็มจำนวน

#ศูนย์พักพิงผู้ติดยาเสพติดก็มาด้วย
แม้แต่โครงการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ที่เป็นโครงการด้านสังคมที่ควรจัดอยู่ในงบประมาณรายง่ายปกติ กระทรวงมหาดไทยยังจัดทำคำขอเข้ามา หลังก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร คุณพ่อนายกฯ ออกมาส่งสัญญาณจะขอกระทรวงมหาดไทยกลับมาให้พรรคเพื่อไทยดูแลเอง พร้อมปัดฝุ่นนโยบายปราบปรามยาเสพติดกลับมาดำเนินการอย่างเข้มข้น ทำให้กระทรวงมหาดไทยปัดฝุ่นเอาโครงการที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดสอดแทรกเข้ามาในงบขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยทันที
โดยจากการตรวจสอบคำขอรับจัดสรรงบของกระทรวงมหาดไทย พบว่า สำนักงานปลัดมหาดไทย เสนอ 3 โครงการ วงเงิน 5,484 ล้านบาท อาทิ งบฯ จัดงาน MOI EXPO 2025 - เปิดมหาดไทย เชื่อมไทยสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน เพื่อแสดงศักยภาพของจังหวัดและท้องถิ่นต่าง ๆ โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว 288.5 ล้านบาท และโครงการจัดตั้งสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด เพื่อบำบัดพฤติกรรมการเสพและฟื้นฟูร่างกายจิตใจผู้ติดยาเสพติดให้กลับคืนสู่สภาพปกติ 878 อำเภอ วงเงิน 5,180 ล้านบาท
ในส่วนของกรมการปกครอง ได้เสนอ 6 โครงการ วงเงินงบประมาณ 879 ล้านบาท อาทิ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายพลังหมู่บ้าน/ชุมชน ยกระดับความปลอดภัยให้แก่ผู้มาเยือน (Tourist Safety Zone) วงเงิน 137 ล้านบาท, โครงการ “ไทยไท” กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก (1 อำเภอ 1 เศรษฐกิจสร้างสรรค์ - Soft Power District) วงเงิน 220.5 ล้านบาท เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่อยู่ในงบประมาณปกติ แต่ไม่ได้รับการจัดสรร และหลายโครงการเป็นโครงการด้านสังคม ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยซ้ำ
#เปิดข้อเสนอแนะ ธปท. ต่องบกระตุ้น ศก.
ก่อนหน้านี้ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เสนอความเห็น ธปท. ต่อแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท มายัง ครม. โดยระบุว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรให้น้ำหนักกับการบรรเทาผลกระทบและสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจมากขึ้น การจัดสรรงบประมาณ ควรให้ความสำคัญกับการบรรเทาความเดือดร้อนต่อกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ กลุ่มผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ที่เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้ผลิตที่จะถูกกระทบจากการทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ (import flooding) ที่รุนแรงขึ้น ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตที่ไทยเผชิญอยู่

โดยตั้งแต่ ปี 2565-2567 การนำเข้าสินค้าขั้นสุดท้ายเพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งผู้ผลิตในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีข้อจำกัดในการปรับตัว และควรมีโครงการที่ช่วยให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มโอกาสในการเปิดตลาดใหม่ควบคู่ไปด้วย
นอกจากนั้น ควรมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือกับ Import flooding เพราะถ้าไม่ดำเนินการในเรื่องนี้ก่อน โครงการหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ อาจไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควร โดยแนวทางการรับมือที่ต้องเร่งดำเนินการ อาทิ การบังคับใช้กฎหมายและการตรวจสอบที่เข้มงวดใน 3 ด้าน ได้แก่ การตรวจมาตรฐานสินค้า การตรวจสินค้าผ่านด่าน และการป้องกันสวมสิทธิสินค้าเพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออก
"ธปท. เห็นด้วยกับการทบทวนแผนการใช้งบประมาณ ให้สอดรับกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ทันท่วงที และไม่ขัดข้องกับหลักการของแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มผลิตภาพการผลิต และการรักษาระดับการจ้างงาน โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการส่งออกที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า การประกาศนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) ของประเทศมหาอำนาจ”
หมายเหตุ:อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-Facebook @เนตรทิพย์ ออนไลน์
เงินดิจิทัล 1.57 แสนล้าน..
ก็กลายร่างเป็น"เค้กก้อนใหม่"
จากกรณีที่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร สั่งทบทวนมาตรการแจกเงินดิจิทัลเฟสสอง จำนวน 10,000 บาท ที่จะให้แก่กลุ่มคนรุ่นใหม่
โดยที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 19 พฤษถาคม 2568 ที่มีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นประธาน มีมติทบทวนงบดิจิทัลวอลเล็ต 1.57 แสนล้านบาท เพื่อนำไปใช้กระตุ้นเศรษกิจในภาพรวมด้าน “น้ำ – คมนาคม – ท่องเที่ยว” เป็นหลัก
https://www.facebook.com/share/p/19XTaLHQLS/?mibextid=wwXIfr
