
รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา SCF Associates LTD ที่ปรึกษาอิสระต่างประเทศ ที่สำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. มอบหมายให้ดำเนินการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบกรณีการรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และ DTAC ได้ส่งมอบรายงานผลการศึกษาให้แก่สำนักงาน กสทช. แล้ว ทั้งนี้ สำนักงาน กสทช. จะเสนอรายงานฉบับดังกล่าวให้ที่ประชุม กสทช. ใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากรณีการรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทค ในวันที่ 20 ต.ค.นี้
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผลการศึกษาของ SCF Associates ต่อกรณีการควบรวมธุรกิจฯ ระบุว่า จากการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น พบว่า จะส่งผลต่อการแข่งขันที่ลดลงในตลาด และมีความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะเพิ่มขึ้นในส่วนของตลาดค้าปลีกของตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวรวมถึงตลาดอื่นๆ ที่มีการขายพ่วงไปกับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วย
ขณะเดียวกัน ผลศึกษายังระบุด้วยว่า การจะทำให้สภาพตลาดกลับคืนมาด้วยวิธีการเพิ่มการแข่งขันผ่านมาตรการต่างๆ ทำได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม MNO รายใหม่ , การเพิ่มผู้เล่น MVNO รวมถึงการใช้มาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางแข่งขันหรือทางราคา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ธุรกิจไทยในภาพรวมได้ผลกระทบรุนแรงได้ ซึ่งจะมีการศึกษาในรายงานงวดต่อไป

รายงานผลศึกษาฯ ระบุด้วยว่า การควบรวมกิจการจาก 3 ราย เป็น 2 ราย จะทำให้ไทยล้าหลัง เห็นได้จากตัวอย่างของฟิลิปปินส์ โดยธนาคารโลกระบุว่า “เศรษฐกิจดิจิทัลในฟิลิปปินส์ยังห่างไกลจากศักยภาพอย่างเต็มที่ และประสิทธิภาพของประเทศมักจะตามหลังเพื่อนบ้านในภูมิภาคหลายแห่ง” ขณะที่ดัชนีการยอมรับดิจิทัลของธนาคารโลก (DAI) และดัชนีย่อย 3 กลุ่ม ผู้คน รัฐบาล และธุรกิจ ระบุว่า ฟิลิปปินส์อยู่หลังค่าเฉลี่ยของโลกในการนำดิจิทัลมาใช้งานโดยทั่วไป
นอกจากนี้ ยังพบว่า การรวมธุรกิจระหว่างบริษัท TRUE Corp และบริษัท DTAC จะทำให้มีค่าดัชนี Herfindahl-Hirschman Index : HHI เพิ่มขึ้น 1,282 ในตลาดที่มีการกระจุกตัวสูง (ค่า HHI เพิ่มจาก 3,419.9 ในปัจจุบัน เป็น 4,701.9 ภายหลังการควบรวม) เนื่องจากจาก MNO รายหลักที่เดิมมี 3 ราย จะลดลงเหลือ 2 ราย (Duopoly) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงการกระจุกตัวของอำนาจตลาดที่อาจเป็นปัญหาได้ เช่น อาจมีการกำจัดคู่แข่ง โดยการเสนอราคาต่ำกว่าต้นทุนเพื่อยึดฐานลูกค้าของคู่แข่ง หรือขายพ่วงบริการ หรือลดราคาโดยทั่วไป และให้ความจุบรอดแบนด์ฟรี หรือในด้านค้าปลีกสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ด้วยการเสนอราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด เป็นต้น ในขณะที่ผู้รับใบอนุญาตรายอื่น เช่น บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) มีขนาดเล็กเกินไป และ MVNO มีส่วนแบ่งการตลาดเพียงเล็กน้อย และปัจจุบันกำลังหดตัว เนื่องจากเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานฯ และคลื่นความถี่ได้น้อยมาก
รายงานผลศึกษาฯยังวิเคราะห์สภาพการแข่งขันของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ภายหลังการรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และ DTAC ว่า การแข่งขันแบบเหมารวม (bundling) ระหว่าง AIS กับคู่แข่งรายใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังการควบรวม (TRUE และ DTAC) จะมีความรุนแรงขึ้น แต่สำหรับผู้ให้บริการรายใหม่แล้ว การสร้างข้อเสนอแบบเหมารวมอาจยากมากยิ่งขึ้น เนื่องจากยังไม่มีพันธมิตร และพันธมิตรส่วนใหญ่นั้น จะมีข้อตกลงกับผู้ให้บริการแบบมีโครงข่าย MNO อยู่แล้ว ส่งผลให้การเข้าสู่ตลาดไทยของผู้ให้บริการรายใหม่ ด้วยบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพียงอย่างเดียวนั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก เว้นแต่จะความแตกต่างในด้านอัตราค่าบริการและบริการที่มีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ผู้ให้บริการรายใหม่ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้สามารถบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และแม้ว่าผู้ให้บริการรายใหม่อาจจะสามารถแบ่งปันโครงสร้างพื้นฐานกับรายอื่นได้ เช่น แบ่งปันกับเครือข่าย NT แต่โครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่อาจยังไม่พร้อมใช้งาน
ปมดีลควบทรู-ดีแทค..ถึงหู ส.ส.นอร์เวย์
ปมควบรวมทรู-ดีแทค ดังก้องไปถึงนอร์เวย์ โดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคม ได้ต่อสายถึง ส.ส. นอร์เวย์ จี้รัฐมนตรีการค้าฯ เข้ากำกับ เทเลนอร์ ปมควบรวมทรูดีแทค ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล ละเมิดกฎหมายแข่งการทางการค้า

ทั้งนี้ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวในงานแถลงข่าว เรื่อง “ผู้บริโภคตอบมติ กสทช. ย้ำจุดยืนไม่เห็นด้วยควบรวมทรู-ดีแทค” ซึ่งจัดขึ้นโดยสภาองค์กรของผู้บริโภค ว่า “ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคม เราพยายามทุกวิถีทางที่จะหาพันธมิตรในการร่วมคัดค้านการควบรวมครั้งนี้ โดยบริษัทเทเลนอร์เป็นรัฐวิสาหกิจของประเทศนอร์เวย์ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีด้านการค้าการลงทุนของนอร์เวย์ ก็ได้มีการติดต่อผ่านทางสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนอร์เวย์ เพื่อที่จะส่งสารไปให้ถึงรัฐมนตรีฯ ว่า เทเลนอร์กำลังทำการที่ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล ซึ่งคนทั่วโลกก็ทราบดีว่า เทเลนอร์ยึดหลักธรรมาธิบาลหนักแน่น และประกาศเรื่องนี้ตลอดเวลา แต่การควบรวมนี้จะเป็นการละเมิดกฎหมายแข่งขันทางการค้าที่เป็นหลักสากล ก็เป็นการขัดต่อหลักธรรมาภิบาล เราจึงได้เปิดประเด็นนี้ไปให้ ส.ส. นอร์เวย์ ให้ส่งต่อไปยังรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงได้ขอเข้าพบท่านทูตของนอร์เวย์ประจำประเทศไทยไปพร้อมๆ กัน เพื่อสร้างแรงกดดันในทุกๆ ทาง เพื่อให้ผลของการลงมติ หรือบริษัทดีแทคเปลี่ยนใจไม่ควบรวม และหาวิธีการอื่นในการทำธุรกิจต่อในประเทศไทย อาจจะเป็นการขายกิจการให้บริษัทอื่นๆ ในประเทศไทยที่ไม่ได้อยู่ในตลาดโทรคมนาคมก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
อยากฝากถึงพี่น้องประชาชนว่า แรงกดดันของเรามีผล ยังไม่ถึงวันที่ 20 ต.ค. เรายังมีโอกาสที่จะสร้างแรงกดดันเพื่อให้มติ กสทช. อยู่ข้างผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก”