
หลังปลัดสำนักนายกฯ ส่งเรื่องให้ สลค. ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล กรณีที่ผ่านมา คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ได้ทำหนังสือลงวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม พร้อมดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ กรณีการขาดคุณสมบัติของ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

โดยในเวลาต่อมา สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดย นายพันศักดิ์ เจริญ ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน ปฏิบัติราชการแทนปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ตอบกลับไปผู้ร้องว่าได้ส่งเรื่องไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเรียบร้อยแล้ว เพื่อพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจต่อไป
ดังนั้น จึงต้องจับตาดูว่ากรณีที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ประธาน กสทช. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปจนกว่าจะมีพระราชวินิจฉัยเป็นที่สิ้นสุด หรือปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าไม่ได้ขาดคุณสมบัติจริง หรือไม่

ทั้งนี้ บทบัญญัติ มาตรา 20(5) พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ปี 2553 ระบุว่า กรรมการพ้นตำแหน่งเมื่อกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 8 และให้มีผลตั้งแต่วันที่ขาดคุณสมบัติ หรือวันที่กระทำการฝ่าฝืน ซึ่งกรณีของ นพ.สรณ ที่ยังคงประกอบวิชาชีพเวชกรรมแม้ได้รับแต่งตั้งให้เป็น กสทช. แล้ว เข้าข่ายขัดมาตรา 8(3) และปรากฏในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. ทั้งยังสอดคล้องกับผลการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการไอซีที วุฒิสภา ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์วุฒิสภา การปรากฏข้อเท็จจริงของการกระทำดังกล่าวจึงเป็นที่ประจักษ์
ทั้งนี้ มาตรา 20 วรรคสาม ระบุว่า หากประธาน กสทช. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ กรรมการที่เหลืออยู่ 6 คน ยังสามารถดำเนินงานต่อไปได้โดยไม่สะดุด อย่างไรก็ตาม หากยังปล่อยให้ผู้ขาดคุณสมบัติทำหน้าที่ต่อไป นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้รักษาการตามมาตรา 5 อาจต้องร่วมรับผิดชอบด้วย