
หลังจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และคณะกรรมการคัดเลือก (กรรมการตามมาตรา36 พ.ร.บ.พีพีพี) โครงการประมูลหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้า สายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี วงเงินลงทุนกว่า 1.427 แสนล้านบาท ประกาศเดินหน้าเปิดซองประมูลโครงการดังกล่าว
แม้จะมีกลุ่มบริษัทเอกชนเข้ายื่นข้อเสนอเพียง 2 รายเท่านั้น จากผลพวงการเพิ่มเติมข้อกำหนด เงื่อนไข และการกำหนดคุณสมบัติด้านเทคนิคของ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ใหม่ ที่ทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าจากทั่วโลก ไม่สามารถจะฝ่าเกณฑ์สุดพิสดารเข้ามาร่วมประมูลได้ (อ่าน ดร.สามารถ ประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ครั้งที่ 2 ไม่กีดกัน-ไม่เอื้อประโยชน์จริงหรือ?... http://www.natethip.com/news.php?id=5612)

นัยว่า ทั่วทั้งโลกนั้นมีเพียงบริษัทเอกชนไทยเพียง 2 กลุ่มเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์คุณสมบัติด้านเทคนิคที่ รฟม.กำหนด นั่นคือ กลุ่มบริษัท ช.การช่าง CK (ที่ยื่นข้อเสนอร่วมกับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้า BEM) และ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อบเมนต์ จำกัด(มหาชน) หรือ ITD (อ่าน “ดร.สามารถ” เปิดพิรุธข้อกำหนดพิสดาร.. ยิ่งกว่า "ไม้ล้างป่าช้า-GT200".. http://www.natethip.com/news.php?id=5378 และ ตามคาดยื่นชิงดำสายสีส้มแค่ 2 ราย ไร้เงา”บีทีเอส” ร่อนจดหมายสงวนสิทธิ์รอคำสั่งศาล… http://www.natethip.com/news.php?id=5590)


โดยคณะกรรมการคัดเลือกได้เดินหน้าเปิดซองข้อเสนอ ซองที่ 1 (ข้อเสนอด้านคุณสมบัติ) ตามTime Line ในวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากหลายๆ ฝ่ายที่ให้ รฟม.ตรวจสอบคำพิพากษาของศาลปกครองอย่างละเอียด รัดกุม กรณีได้มีคำพิพากษาล่าสุดให้ “เพิกถอน” มติคณะกรรมการ และประกาศรฟม.ที่ให้ยกเลิกการประกวดราคาในครั้งก่อนเมื่อวันที่ 3 ก.พ.2564 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้เกิดปัญหาว่า การประกวดราคาในครั้งก่อน ยังคงมีผลอยู่หรือไม่ ? และการเดินหน้าเปิดประมูลโดยไม่รอฟังคำพิพากษาของศาลยังสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่โครงการเอาได้อีก (อ่าน รฟม.ลุยไฟเปิดยื่นซองประมูล สายสีส้ม เมินคำสั่งศาลปกครองเบรก-บีทีเอสร้องศาล.. http://www.natethip.com/news.php?id=5583)
และแม้ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ BTS จะเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือก ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพื่อให้สอบสวนการฮั้วราคา ตั้งเงื่อนไขประกวดราคาวางเกณฑ์คุณสมบัติด้านเทคนิค เพื่อกีดกันบริษัทและบริษัทเอกชนรายอื่น ๆ ไม่ให้เข้าประมูล เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนบางราย และยังมีกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่กำลังพิจารณากรณีปรับเปลี่ยนเกณฑ์ประมูล และยกเลิกการประมูลประกวดราคาครั้งก่อนโดยมิชอบ โดยศาลมีกำหนดนัดอ่านคำพิพากษาปลายเดือน ก.ย.ศกนี้
แต่ก็หาได้ทำให้ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกสะท้าน ยังคงประกาศ “ลุยไฟ” เดินหน้าเปิดประมูลโครงการนี้ต่อไป ทั้งยังออกแถลงการณ์ตอบโต้นักวิชาการที่ออกมาให้ความเห็นต่อกรณีการประมูลที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเผ็ดร้อน (อ่าน รฟม. ลากสังขารแถลง ยันประมูลสายสีส้มโปร่งใสในสามโลก http://www.natethip.com/news.php?id=5621)

ขณะที่ “เจ้าส้วคีรี กาญจนพาสน์” ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ได้ออกโรงวิพากษ์ต่อการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกนี้ว่า การที่ BTSC ไม่ได้เข้าประมูล เนื่องจากได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเห็นว่า การกำหนดเงื่อนไขประมูลรอบนี้ ทำให้พันธมิตรของบีทีเอสซีขาดผู้รับเหมาที่มีคุณสมบัติ หากเข้าร่วมประมูลก็ไม่มีโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จอยู่ดี
และการประมูลรอบใหม่นี้เห็นว่า หากบริษัทที่มีคุณภาพ อย่าง บีทีเอสซี เป็นที่ยอมรับ ได้รับรางวัลมามากมาย ไม่ได้เข้าร่วมการประมูลก็ถือเป็นเรื่องที่ภาครัฐเองเสียโอกาส “เอกสารการยื่นประมูลในครั้งแรก บีทีเอสซี ยังเก็บไว้ทั้งหมด เมื่อการประมูลรอบ 2 นี้สิ้นสุดได้ผู้ชนะและทราบราคาแล้วต้องเอามาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่บีทีเอสเคยเสนอเงื่อนไขการประมูลในครั้งแรกไป ถึงจะทราบว่าใครกันแน่ที่เสียโอกาส ในการที่บีทีเอสซีไม่ได้ร่วมประมูล” ประธานบอร์ด บีทีเอสซี กล่าวและว่า และการที่ รฟม.เดินหน้าการประมูลรอบ 2 ทั้งที่ศาลปกครองได้ออกมาชี้ว่า การยกเลิกการประมูลในครั้งแรกไม่ถูกต้องไม่ชอบด้วยกฏหมายถือเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
พิรุธ! แถลงการณ์ รฟม.ย้อนแย้งตัวเอง
ล่าสุด ยังเกิดประเด็น “ดราม่า” จากการที่ฝ่ายบริหาร รฟม.ได้ออกมาตอบโต้กรณีถูก ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ออกมาวิพากษ์อย่างหนักถึงการประมูลคัดเลือกฯที่ไม่โปร่งใส พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการประมูลครั้งที่ 2 นี้ ยิ่งทำให้บริษัทรับเหมาเข้าร่วมประมูลได้ยากกว่าครั้งที่ 1 เนื่องจากมีการปรับแก้คุณสมบัติ ทำให้เข้าประมูลได้ยากขึ้น ส่งผลให้ในโลกนี้มีบริษัทรับเหมาที่มีคุณสมบัติครบแค่ 2 บริษัทเท่านั้น ได้แก่ บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD
ส่วนบริษัทรับเหมาอื่นจะต้องรวมตัวกันเพื่อทำให้มีคุณสมบัติครบ ซึ่งไม่ง่าย เพราะ รฟม. กำหนดไว้ว่า “โดยผู้รับเหมาต้องเป็นนิติบุคคลไทยรายเดียว หรือกลุ่มนิติบุคคลที่มีนิติบุคคลไทยถือหุ้นรวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 51%” ทำให้ผู้รับเหมาต่างชาติบางรายไม่สามารถร่วมยื่นข้อเสนอได้ ต่างจากการประมูลครั้งที่ 1 ซึ่งเปิดกว้างคุณสมบัติของบริษัทรับเหมามากกว่าด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้เข้าประมูลแค่ 2 ราย เท่านั้น ซึ่งทั้ง 2 รายนี้ มีชื่อตรงกับที่ผมเคยโพสต์ไว้ก่อนแล้ว (อ่าน ตามาด!แค่2รายยื่น สายสีส้ม รฟม.ดันต่อไม่รอศาล... http://www.natethip.com/news.php?id=5596)

โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ รฟม.ระบุว่า การกำหนดคุณสมบัติทางด้านเทคนิค ประสบการณ์ และผลงานการก่อสร้างงานโยธา โดยกำหนดให้ใช้ผลงานที่แล้วเสร็จและเป็นผลงานที่ดำเนินการในประเทศไทย เนื่องจากงานก่อสร้างงานโยธา มีมูลค่าสูงถึง 128,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงานโยธาถึง 96,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 75 ของมูลค่างาน ดังนั้นประกาศเชิญชวนฯ จึงได้กำหนดคุณสมบัติด้านผลงานก่อสร้างของผู้ยื่นข้อเสนอโดยคำนึงถึงความสำเร็จของโครงการ
นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับการประกวดราคานานาชาติ (ICB) ที่ รฟม. ใช้ประมูลงานก่อสร้างโยธาล่าสุด คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ซึ่งในการยื่นข้อเสนอมีทางเลือกที่หลากหลายเปิดกว้างในการรวมกลุ่มนิติบุคคล ซึ่งสามารถจับกลุ่มหรือหาผู้รับจ้างที่มีผลงานเพื่อใช้เป็นผลงานของผู้ยื่นข้อเสนอได้ ซึ่งเป็นปกติของการดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐที่ย่อมมีผู้ก่อสร้างโครงการหลายรายที่จะเข้าดำเนินการร่วมกัน ดังนั้น การที่กล่าวอ้างว่าการกำหนดคุณสมบัติดังกล่าวเป็นการไม่เปิดกว้าง ทำให้เอกชนบางรายไม่สามารถจับกลุ่มยื่นข้อเสนอได้นั้น จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง
แถลงการณ์ข้างต้นของ รฟม. นั้น กล่าวได้ว่า “ย้อนแย้ง” กับสิ่งที่ รฟม. ป่าวประกาศออกไปทั่วโลกก่อนหน้านี้ ก็คือ กรณีการประมูลก่อสร้าง สายสีม่วงใต้ ที่มีการแยกเนื้องานออกเป็น 6 สัญญารับเหมา และอ้างว่าได้เปิดกว้างให้เอกชนผู้รับเหมาเข้าประมูลได้นั้น
แม้ รฟม. จะกำหนดให้ผู้รับเหมาที่จะเข้าประมูลต้องมีผลงานด้านโยธาทั้ง 3 ด้าน กับรัฐบาลไทยเช่นเดียวกับโครงการ สายสีส้มตามเจริญรอยตามมา แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือกรณีการประมูลสายสีม่วงใต้นั้น รฟม. ยอมให้ใช้ผลงานที่ก่อสร้างที่อยู่ระหว่างดำเนินการ หรือยังไม่เปิดให้บริการอ้างอิงได้ ทำให้มีผู้รับเหมาก่อสร้าง 3-4 ราย สามารถเข้าร่วมประมูลได้
แต่ในส่วนของการกำหนดคุณสมบัติด้านเทคนิคการประมูล สายสีส้มครั้งใหม่นี้ รฟม. กลับ “ปิดกั้น” บริษัทรับเหมาที่จะเข้าประมูล โดยนอกจากกำหนดให้ต้องมีผลงานก่อสร้างงานโยธาครบทั้ง 3 ด้านกับรัฐบาลไทยแล้ว ยังกำหนดให้ต้องเป็นงานก่อสร้างที่ “แล้วเสร็จ” เปิดใช้งานแล้วเท่านั้น ซึ่งทำให้กลุ่มรับเหมาหลายรายที่มีประสบการณ์ก่อสร้างงานโยธาในโครงการของ รฟม.เอง โดยเฉพาะการก่อสร้างสายสีส้มตะวันออก ที่ กลุ่มยูนิค คอนสตรัคชั่น และบริษัทซิโนทัย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ร่วมดำเนินการอยู่ด้วยนั้น เมื่อมาเจอข้อกำหนดคุณสมบัติสุดอัปยศเช่นนี้จึงทำให้ไม่ผ่านคุณสมบัติ ไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้
เงื่อนไข “อัปยศ” เช่นนี้ รฟม. และคณะกรรมการฯ ช่วยตอบข้อกังขาของสังคมได้ไหมว่า จะกำหนดขึ้นมาเพื่ออะไร..? ในเมื่อประสบการณ์และผลงานด้านโยธาทั้ง 3 ด้านที่ว่านี้มาอย่างครบถ้วนแล้วในสายตะวันออก สามารถดำเนินการก่อสร้างได้แล้วเสร็จตามเป้าหมายของ รฟม.อยู่แล้ว หาไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถเข้าร่วมประมูล สายสีม่วงใต้ได้อย่างแน่นอน แล้ว รฟม.และคณะกรรมการจะไป “ปิดกั้น” เพื่อ..? จนทำให้ยักษ์รับเหมาเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ร่วมประมูลได้อย่างไร
จุดนี้เองที่ทำให้กลุ่ม BSR ที่มี BTS เป็นแกนนำขาดคุณสมบัติ และกลายเป็นข้อกังขาของสังคม ตลอดจนเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ ดร.สามารถ ออกมาวิพากษ์ถึงการกทำทำอันย้อนแย้งของ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ เอง ว่าเหตุใดและทำไม รฟม. ถึงปิดกั้นในเรื่องนี้ “ก็ในเมื่อบริษัทรับเหมาเหล่านี้มีประสบการณ์ก่อสร้างงานโยธาทั้ง 3 ด้านในโครงกากรก่อสร้างรถไฟฟ้า สายสีส้มตะวันออกมาแล้วจนสามารถเข้าร่วมประมูลก่อสร้างโครงการสีสีม่วงได้ แต่กับอีกโครงการกลับบอกไม่ผ่านคุณสมบัติ เพราะต้องเป็นโครงการที่แล้วเสร็จส่งมอบ และเปิดให้บริการแล้วเท่านั้น”
ที่สำคัญ มูลเหตุที่ทำให้ โครงการก่อสร้างสายสีส้มตะวันออกที่แม้จะก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่ผู้รับเหมายังไม่สามารถจะส่งมอบ ให้แก่ รฟม. ได้ในวันนี้ ก็เพราะ “ติดล็อค” อยู่กับสายสีส้มตะวันตกที่ รฟม. อุตริไปกำหนดเงื่อนไขประมูลหลุดโลก จนทำให้โครงการที่ควรประมูลแล้วเสร็จไปตั้งแต่ไปมะโว้ ต้องล้มลุกคลุกคลานล่าช้าไปจาก “ไทม์ไลน์” ไปถึง 2-3 ปี
เหนือสิ่งอื่นใด เหตุที่ผู้รับเหมากลุ่มนี้ ไม่สามารถจะดำเนินการส่งมอบเนื้องานให้กับ รฟม.ได้ ก็เพราะหากส่งมอบเนื้องานโครงการไปแล้ว รฟม. จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลโครงข่ายรถไฟฟ้า สายสีส้มตะวันออก ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จแต่ยังไม่สามารถจะเปิดใช้หรือให้บริการได้ หรือที่เรียก Care of Work จนกว่าโครงการสายสีส้มตะวันตกจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่า จะต้องกินเวลาอีกกี่ปี อาจจะ 5-10 ปีจากนี้ หาก รฟม. ยังคง “ดั้นเมฆ” คิดแต่จะประเคนโครงการไปให้กลุ่มทุนทางการเมืองสวามปามกันอยู่แบบนี้

ปาหี่ข้อตกลงคุณธรรม?
“ครม. เห็นชอบทุกโครงการจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงานรัฐต้องทำข้อตกลงคุณธรรม หนุนภาคประชาชนร่วมป้องกันทุจริต....”
พาดหัวในสื่อมวลชนทุกแขนงเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.64 หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบทุกโครงการจัดซื้อ จัดจ้างหน่วยงานรัฐต้องจัดทำข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) สำหรับหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการร่วมลงทุนภายใต้กฎหมายอื่น นอกหนือจากพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐปี 2560 เพื่อสนับสนุนให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวมถึงสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้อย่างครอบคลุมทุกโครงการ
ซึ่งก็รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้า สายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะทาง 35.9 กม. วงเงินลงทุนสุดบิ๊กบึ้มกว่า 1.427 แสนล้านบาท ที่กำลังระอุแดดอยู่นี้ ซึ่งที่ผ่านมาแม้ รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกฯจะยืนยัน นั่งยันว่าการดำเนินการทั้งหลายทั้งปวงนั้น อยู่ภายใต้ข้อตกลงคุณธรรมที่มีคณะผู้สังเกตุการณ์จาก องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เข้าร่วมมาโดยตลอด แต่จะเป็นแค่ “เสือกระดาษ” หรือแค่ “ตรายาง - Rubber Stamp” นั้นทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจกันดี
และก็อย่างที่ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ออกมาเตือนสติ รฟม. และรัฐบาลก่อนหน้านี้ การที่รฟม.ยังคงดั้นเมฆดำเนินโครงการนี้ หาก รฟม. สามารถดำเนินการประมูลจนได้เอกชนที่มาร่วมลงทุน มีการลงนามในสัญญาเสร็จเรียบร้อยก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาลงมา และหากต่อมาศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง
นั่นคือ..เพิกถอนการยกเลิกการประมูลครั้งที่ 1 ทำให้การประมูลครั้งที่ 1 ยังคงมีอยู่ แล้วการประมูลครั้งที่ 2 จะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ? หากไม่ชอบ รฟม. จะต้องกลับมาดำเนินการประมูลครั้งที่ 1 ให้จบกระบวนการหรือไม่ ? “การไม่รอฟังผลคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด โดยปราศจากมูลเหตุที่จะอ้างได้ตามกฎหมายนั้น ย่อมเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะนำมาสู่ความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะไม่มีใครจะทราบได้ว่าคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษาว่าอย่างไร แล้วเหตุใดจึงต้องรีบเร่งจัดประมูลในครั้งที่ 2 โดยไม่รอฟังคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเสียก่อน ประเด็นสำคัญข้อนี้ ประชาชนที่ติดตามเรื่องนี้อยู่ต่างตั้งข้อสงสัยและข้อกังขา ต้องการฟังคำชี้แจงจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้สิ้นสงสัย”
ถึงเวลานี้ การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้มล่าช้าไปจากกำหนดการเดิมประมาณ 2 ปีแล้ว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ได้ประเมินค่าเสียโอกาสทางด้านเศรษฐกิจจากการประหยัดเวลาการเดินทาง การประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้ยานพาหนะ และการลดมลพิษ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท/ปี ถึงเวลานี้ โครงการนี้ล่าช้าไปแล้ว 2 ปี ทำให้เกิดความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจไปแล้วประมาณ 9.2 หมื่นล้านบาท
ถามว่า ความสูญเสียอันใหญ่หลวงนี้ ใครจะรับผิดชอบ ??? จะโยนกลองไปให้เจ้าสัวคีรี หรือรัฐบาลหล่ะท่านผู้ว่าการ รฟม. และ รมว.คมนาคม “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ช่วยตอบสังคมทีเถอะ!!