
แผนการลงทุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ของ กฟผ.จำนวน600 เมกะวัตต์ คาดว่าจะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนราว 9.3 หมื่นล้านบาท รวมทั้งสร้างรายได้จากขายไฟฟ้าราว 7.8 แสนล้านบาท ตลอดระยะเวลาในการดำเนินงาน 60 ปี (เฉลี่ยราว 1.3 หมื่นล้านบาท/ปี)
การลงทุน SMR ของ กฟผ.ดังกล่าวคาดว่าจะสร้างรายได้กับธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานของการพัฒนา SMR ราว 4.3 หมื่นล้านบาท ในช่วงปี 2575-80 โดยธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนดังกล่าวมากที่สุด คือ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและโยธา ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ราว 2.26 หมื่นล้านบาท ในช่วงเวลาดังกล่าว
เพื่อสร้างมั่นใจด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยใน SMR ภาครัฐและภาคเอกชนสามารถปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้ 1) เลือกพื้นที่ตั้งของโรงไฟฟ้า SMR ที่มีระบบส่งไฟฟ้าที่จำกัดและอยู่ใกล้แหล่งน้ำเพื่อเพิ่มความเสถียรในการใช้ไฟฟ้าของพื้นที่และลดต้นทุนในการก่อสร้าง SMR 2) รับฟังความคิดเห็นจากชุมชนที่อยู่รอบ SMR พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการทำงานอย่างครบถ้วนเพื่อสร้างความมั่นใจกับชุมชนเหล่านั้น 3) ออกกฎหมายให้ผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้า SMR ต้องจัดเงินทุนสำหรับการกำจัดกากกัมมันตรังสี 4) ออกแบบ SMR ให้มีระบบตัดไฟฟ้าและต้านทานแผ่นดินไหว รวมทั้งมีอาคารที่ใช้กักเก็บกากกัมมันตรังสีเพื่อป้องกันความเสียหายของ SMR และการรั่วไหลสารกัมมันตรังสี 5)ลงทุนก่อสร้างแหล่งเก็บกากกัมมันตรังสีใต้พื้นดินอย่างถาวรในบริเวณที่ไม่มีรอยเลื่อนที่ยังเคลื่อนไหวและมีชั้นหินเก่าแก่ที่มั่นคงเพื่อให้มั่นใจได้ว่าสามารถกักเก็บกากกัมมันตรังสีที่ทิ้งจาก SMR ได้อย่างปลอดภัย
…
“พงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ” นักวิเคราะห์ Krungthai Compass ระบุว่า ในฉบับที่แล้ว เราได้นำท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (Small Modular Reactor: SMR) การเปรียบเทียบโรงไฟฟ้า SMR กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม ประเภทของโรงไฟฟ้า SMR สถานการณ์ของโรงไฟฟ้า SMR ในระดับโลกและการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดได้ในบทความ “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) พลังงานอนาคตที่กำลังมาแรง (EP.1)”
ในบทความฉบับนี้ เราจะนำท่านผู้อ่านไปวิเคราะห์ถึงแผนการพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ของไทย และการวิเคราะห์ประเภทของโรงไฟฟ้า SMR ที่เหมาะสมกับไทย ต้นทุนโรงไฟฟ้า ประโยชน์จากการใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR รวมถึงโอกาสของผู้ประกอบการไทยจากการพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ซึ่งในปัจจุบัน การพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของแหล่งพลังงานที่ประเทศทั่วโลกต่างทวีความสำคัญมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อต้นเดือน มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้เลือกบริษัท โรลส์-รอยซ์ (Rolls-Royce Plc) ให้ทำหน้าที่จัดหาเทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาด สำหรับสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ SMR แห่งแรกของประเทศ หลังจากเฟ้นหาเกือบ 2 ปี รวมถึงไทย ที่ทางรัฐบาลไทยและรัฐบาลเกาหลีได้ลงนามข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการใช้พลังงานนิวเคลียร์ทางสันติ เมื่อเดือน มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ผ่านทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ Korea Hydro and Nuclear Power Co., Ltd. (KHNP) โดยทั้งสองหน่วยงานจะได้ร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นของการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้า SMR เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางปฎิบัติด้านพลังงาน รวมถึงการพัฒนาบุคลากร ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญที่สะท้อนความจริงจังในการพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ของไทย
แผนพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ของไทย
สำหรับไทย ภาครัฐได้มีการบรรจุแผนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า SMR ไว้ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตกำลังไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2567-2580 (ร่างแผน PDP2024) และแผนวิสาหกิจ กฟผ.ปี 2568-72 แล้ว ซึ่งจากร่างแผนดังกล่าว ภาครัฐมีแผนที่จะให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้า SMR ในปี 2575 และเดินเครื่องโรงไฟฟ้า SMR ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 600 เมกะวัตต์ในช่วงปี 2580-2640 (60 ปี) โดยแบ่งเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า SMR ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือราว 300 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า SMR ในภาคใต้ราว 300 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีรายละเอียดของจำนวนและประเภทโรงไฟฟ้า SMR ที่จะลงทุน รวมทั้งข้อมูลที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการลงทุนโรงไฟฟ้า SMR ของ กฟผ. มากนัก

ดังนั้น บทความนี้จะแนะนำประเภทโรงไฟฟ้า SMR ที่เหมาะสมกับไทย รวมทั้งวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจจากการลงทุนโรงไฟฟ้า SMR ที่ผู้ประกอบการไทยจะได้รับในหัวข้อถัดไป
โรงไฟฟ้า SMR ใดที่เหมาะสมกับไทย
หากพิจารณาคุณสมบัติของโรงไฟฟ้า SMR แต่ละประเภท ซึ่งได้อธิบายโดยละเอียดในบทความ “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) พลังงานอนาคตที่กำลังมาแรง (EP.1)” พบว่า Land-Based Water-Cooled SMRs (LWR) เป็นโรงไฟฟ้า SMR ที่เหมาะที่จะก่อสร้างในไทยมากที่สุด จากเหตุผลดังต่อไปนี้

1. LWR มีความปลอดภัยสูง และสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชน เนื่องจากโรงไฟฟ้า SMR ประเภทนี้มีระบบ passive safety ซึ่งสามารถระบายความร้อนคงค้าง หลังปิดระบบของโรงไฟฟ้า และมีการออกแบบให้ปิดกั้นสารกัมมันตรังสีโดยอัตโนมัติในกรณีที่โรงไฟฟ้า SMR ชำรุด ซึ่งลดความเสี่ยงจากการระเบิดของโรงไฟฟ้า และการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณชนได้ง่ายขึ้น
2. LWR ใช้น้ำเป็นสารหล่อเย็น จึงเหมาะกับภูมิประเทศของไทย เนื่องจากไทยมีแหล่งน้ำจำนวนมาก เช่น ลุ่มแม่น้ำสายหลักต่างๆ และพื้นที่ชายฝั่งทะเล จึงทำให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกตั้ง LWR ใกล้แหล่งน้ำต่างๆ และใช้น้ำจากแหล่งน้ำเหล่านั้นได้อย่างสะดวก

การลงทุน SMR สร้างรายได้ให้ธุรกิจโรงไฟฟ้ามากเพียงใด และคุ้มค่าการลงทุน?
การที่ภาครัฐมีแผนที่จะให้ กฟผ. ลงทุนโรงไฟฟ้า SMR ที่มีกำลังการผลิตทั้งหมด 600 เมกะวัตต์ คาดจะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในการพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ราว 9.3 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2575-809 ซึ่งการประเมินนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่า กฟผ. เลือกลงทุนโรงไฟฟ้า SMR ประเภท Land-Based Water-Cooled SMRs (LWR) ที่ใช้เงินในการลงทุนราว 155 ล้านบาท/เมกะวัตต์ ในปี 2575 ซึ่งลดลง 22% จากปี 2568 ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของ Wood Mackenize และสถาบันพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ
นอกจากนั้น การลงทุนโรงไฟฟ้า SMR ดังกล่าวยังสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการขายไฟฟ้าราว 7.8 แสนล้านบาท ตลอดระยะเวลาการดำเนินงาน 60 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 1.3 หมื่นล้านบาท
การประเมินรายได้จากการลงทุน LWR ของ กฟผ.อยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวขายไฟฟ้า ในรูปแบบเดียวกับราคาขายไฟฟ้าของภาคเอกชนให้กับ กฟผ. ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 1) ค่าพร้อมจ่ายไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะคงที่อยู่ที่ 0.68 บาท/หน่วยไฟฟ้า 2) ค่าพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเปลี่ยนแปลงตามทิศทางของราคาเชื้อเพลิงหลัก อย่าง uranium-235 ที่ถูกประเมินโดย UBS และสมาคมนิวเคลียร์โลก ซึ่งส่วนนี้จะเฉลี่ยอยู่ราว 1.94 บาท/หน่วยไฟฟ้า
เมื่อพิจารณาระยะเวลาคืนทุนของการลงทุน LWR ของ กฟผ. พบว่า โรงไฟฟ้าประเภทนี้จะใช้เวลาคืนทุน 12.6 ปี ซึ่งสั้นกว่าระยะเวลาในการดำเนินการของโรงไฟฟ้า SMR ของ กฟผ.ที่ 60 ปี โดยโรงไฟฟ้า SMR ประเภท LWR จะมีรายได้จากการขายไฟฟ้าประมาณ 21.8 ล้านบาท/ปี/เมกะวัตต์
นอกจากนั้น คาดว่าการลงทุน LWR ของ กฟผ.มีอัตราผลตอบแทนโดยเฉลี่ย (IRR) อยู่ราว 6.8% ต่อปี ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับ IRR ของโรงไฟฟ้า SMR ของทั่วโลกทิ่อยู่ราว 5.8%-11% ต่อปี
การลงทุนโรงไฟฟ้า SMR ของ กฟผ.ย่อมส่งผลบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและโยธา เนื่องจาก กฟผ.มีแนวโน้มที่จะใช้ผู้ประกอบการเหล่านี้ในการพัฒนาโครงการมากขึ้น ซึ่งจะได้วิเคราะห์ผลประโยชน์ที่ธุรกิจดังกล่าวได้รับในหัวข้อถัดไป
หมายเหตุ:
- ข้อมูลจากนสพ.ประชาชาติธุรกิจ (เม.ย.68)
- ข้อมูลจาก Joint Institute for Strategic Energy Analysis (ธ.ค.59),บทความเรื่อง “Economics and finance of Small Modular Reactors ”, B.Mignacca และ G.Locatelli (ก.พ.63) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS


