
เห็น “เสี่ยหนู - นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข (สธ.) ออกมา “ตีปี๊บ” ผลงานชิ้นโบแดงของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในช่วงที่ผ่านมา นอกเหนือจากการผลักดันการปลดล็อค “กัญชาเสรี” ให้ชาวบ้านระดับรากหญ้าสามารถปลูกกัญชาในครัวเรือนกันได้เสรีแล้ว
ล่าสุด ยังสามารถผลักดันให้มีการรื้อคดี “ค่าโง่โฮปเวลล์” 2.4 หมื่นล้าน จนศาลปกครองสูงสุดโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งกลับคำพิพากษาให้ศาลปกครองกลางรับคำร้องของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ขอให้ศาลพิจารณาคดีนี้ใหม่ ทำให้รัฐบาลไม่ต้องเสียค่าโง่จำนวน 2.4 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ก่อนหน้า นายพีระพันธ์ สารีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ ก็ออกมาอวยเบื้องหลังความสำเร็จของการรื้อคดีค่าโง่โฮปเวลล์ในครั้งนี้ว่า เป็นผลงานของคนรถไฟฯ และคณะทำงานที่ตนเองลงไปคลุกวงในโม่แป้งคดีนี้ด้วยตนเอง จนกระทั่งนำมาซึ่งการรื้อฟื้นคดีค่าโง่โฮปเวลล์ ที่ทำให้รัฐไม่ต้องจ่ายค่าโง่กว่า 2.4 หมื่นล้านบาทได้ จนกลายเป็นการแย่งซีน แย่งผลงานกันให้ยุ่งขิง
ยิ่งในห้วงเวลาเดียวกัน ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีที่กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และกระทรวงการคลังได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์ขอให้ศาลรื้อคดี “ค่าโง่บ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน” ก่อนหน้านี้ จากที่ศาลปกครองสูงสุดเคยมีคำพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษต้องจ่ายชดเชยความเสียหายให้กลุ่มกิจการร่วมค้า NPVSKG คู่สัญญาโครงการวงเงินกว่า 9,800 ล้านบาทมาแล้ว โดยที่ศาลปกครองสูงสุด ยังคงมีคำสั่งยืนตามคำพิพากษาเดิม ด้วยเหตุผลที่ไม่มีข้อเท็จจริงใหม่ใด ๆ จะมาคัดง้างหรือหักล้างคำพิพากษาเดิมได้
เรื่องนี้ได้กลายเป็น “หอกข้างแคร่” และ “หนามยอกอก” ที่ทำให้สังคมตั้งข้อกังขา แล้วการรื้อฟื้นค่าโง่โฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล้าน จะจบลงอย่างไร?
จะนำไปสู่การเพิกถอนคำพิพากษาและเพิกถอนคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ที่ทำให้รัฐไม่ต้องเสียค่าโง่กว่า 2.4 หมื่นล้านบาท หรือเป็นได้แค่ “มหกรรมปาหี่” ซื้อเวลาจ่ายค่าโง่ออกไปเท่านั้น

หากทุกฝ่ายจะได้ย้อนกลับไปพิจารณา Time Line ค่าโง่โฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล้าน นับตั้งแต่กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ ได้นำเสนอแนวทางการบอกเลิกสัญญาสัมปทานเมื่อปี 2540-41 จนนำไปสู่การฟ้องร้องคดีในชั้นอนุญาโตตุลาการ และจบลงด้วยคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อ 22 เม.ย. 2562 ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ ร่วมกันชดเชยความเสียหายให้แก่บริษัทโฮปเวลล์ จากการบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ วงเงินกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท ก่อนที่กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ จะร้องขอให้ศาลปกครองรื้อคดีค่าโง่ใหม่นั้น พอจะสรุป “ไทม์ไลน์” ได้ดังนี้
23 ธ.ค. 2540 กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ นำเสนอแนวทางการบอกเลิกสัญญาสัมปทานโครงการโฮปเวลล์ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเป็นการบอกเลิกสัญญาตาม ปพพ.มาตรา 388 ด้วยข้ออ้างบริษัทมีความคืบหน้าในการก่อสร้างดำเนินโครงการล่าช้าไม่เป็นไปสัญญา และมีเหตุอันควรเชื่อว่า แม้จะขยายเวลาก่อสร้างออกไปบริษัทก็ไม่สามารถก่อสร้างระบบฯ ให้เสร็จภายในกำหนดเวลาที่ระบุในสัญญาได้
30 ม.ค. 2541 กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ มีหนังสือบอกเลิกสัญญา และห้ามมิให้บริษัทโฮปเวลล์และบริวารเข้าดำเนินการก่อสร้างใดๆ ในพื้นที่สัมปทาน รวมทั้งริบเงินค่าตอบแทนสัญญาจำนวน 2,850 ล้าน และริบหลักประกันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัท โฮปเวลล์ ได้โต้แย้งการบอกเลิกสัญญา โดยระบุว่า สัญญาสัมปทานมีกระบวนการที่ระบุไว้เฉพาะ ซึ่งต้องปฏิบัติตามก่อนบอกเลิกสัญญา การบอกเลิกสัญญาจึงไม่ชอบและบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการตามกฎหมาย แต่กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ ยังคงยืนยันเจตนาการเลิกสัญญาและถือว่าสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลง
บริษัทโฮปเวลล์มีหนังสือแจ้งให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ ระงับข้อพิพาทให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันตามสัญญาสัมปทาน มิเช่นนั้นบริษัทชอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการทางกฎหมาย แต่กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ ไม่ตอบรับใดๆ
24 พ.ย. 2547 บริษัทโฮปเวลล์ยื่นคำเสนอข้อพิพาทเพื่อเรียกร้องให้ต่างฝ่ายต่างกลับคืนสู่ฐานะเดิม อันเนื่องมาจากการเลิกสัญญา และให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ คืนเงินค่าตอบแทนจำนวน 2,850 ล้านบาทคืนให้แก่บริษัทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงินต้น และดอกเบี้ย 5,143.5 ล้านบาท กับให้ชดใช้เงินลงทุนที่บริษัทดำเนินการไปแล้วจำนวน 14,818 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย รวมเป็นเงินที่ต้องร่วมกันชดใช้ให้แก่บริษัททั้งสิ้น 28,334.66 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจะชำระบริษัทแล้วเสร็จ
กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ ยื่นคำคัดค้าน โดยระบุว่า คำเสนอข้อพิพาทของบริษัทโฮปเวลล์ขาดอายุความ เนื่องจากพ้นระยะเวลาการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ตามมาตรา 51 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง พ.ศ.2542 คณะอนุญาโตตุลาการไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้เนื่องจากสัญญาได้เลิกสัญญากันแล้ว และผู้คัดค้านทั้งสองได้เลิกสัญญาสัมปทานตามกระบวนของกฎหมาย และมีเหตุอันควรเชื่อว่าบริษัทจะไม่สามารถก่อสร้างระบบฯ ให้เสร็จภายในกำหนดเวลาที่ระบุในสัญญา ข้อเรียกร้องของบริษัทจึงไม่อาจดำเนินการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการตามสัญญาสัมปทานข้อ 31 ได้ อีกทั้งบริษัทไม่มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหายได้ เนื่องจากผู้คัดค้านทั้งสอง (กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ) ไม่ได้ใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญาตามเงื่อนไขที่กำหนดในสัญญาสัมปทานข้อ 28 จึงไม่ต้องชดใช้ค่าก่อสร้างให้แก่บริษัทเพื่อกลับคืนสู่สถานะเดิม

8 พ.ย. 2551 คณะอนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยให้ผู้คัดค้าน (การรถไฟฯ และกระทรวงคมนาคม) คืนเงินค่าตอบแทนตามสัญญาสัมปทานจำนวน 2,850 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ได้รับเงินในแต่ละงวด จนกว่าจะชำระสำเร็จ และให้คืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งให้ร่วมกันชดใช้เงินในการก่อสร้างโครงการจำนวน 9,000 ล้านบาท แก่บริษัทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดจนกว่าจะชำระเสร็จ
การรถไฟฯ และกระทรวงคมนาคม อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ยืนยันคำเสนอข้อพิพาทของบริษัทโฮปเวลล์ ขาดอายุความ เนื่องจากพ้นระยะเวลาการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ตามมาตรา 51 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง พ.ศ.2542 คณะอนุญาโตตุลาการไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ เนื่องจากสัญญาได้เลิกสัญญากันแล้ว และผู้คัดค้านทั้งสองได้เลิกสัญญาสัมปทานตามกระบวนของกฎหมาย
22 เม.ย. 2562 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 221 – 223/2562 ว่า บริษัทโฮปเวลล์ ได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว เนื่องจากต้องนับอายุความตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2544 อันเป็นวันที่ศาลปกครองเปิดทำการ และศาลปกครองสูงสุดเห็นสมควรพิจารณาในเนื้อหาแห่งคดีต่อไป
โดยประเด็นเนื้อหาแห่งคดีนั้น ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การที่คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่า การที่ผู้ร้องทั้งสองบอกเลิกสัญญา และห้ามผู้คัดค้านเข้าไปดำเนินการก่อสร้าง กับริบเงินค่าตอบแทน และหลักประกันสัญญา แสดงว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้น และก่อนเสนอข้อพิพาทผู้คัดค้าน (โฮปเวลล์) ได้ขอให้ผู้ร้องทั้งสองระงับข้อพิพาท โดยเจรจาประนีประนอมยอมความแล้ว แต่ผู้ร้องทั้งสองเพิกเฉย ผู้คัดค้านจึงมีสิทธินำข้อพิพาทตามสัญญาเสนอให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดได้…
(โปรดติดตามอ่านต่อในตอนที่ 2)