
ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 มีข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์ ทำให้ไม่สามารถรับชมผ่านช่องทาง AIS PLAY และ AIS PLAYBOX ได้ โดยคุณสามารถรับชมการแข่งขันหรือเป็นกำลังใจให้นักกีฬาไทยได้ผ่านช่องทางอื่นๆ ที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ… ข้อความที่ปรากฏข้างต้น... คือสิ่งที่คอกีฬาที่รอชมการถ่ายทอดสดมหกรรมกีฬาเพื่อมวลมนุษยชาติทั้งหลายผ่านทีวีดิจิทัลโดยทั่วไปต้องประสบ
…
แม้ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. จะมีการประชุม และมีมติไปตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2568 มอบหมายให้ สำนักงาน กสทช. มีหนังสือแจ้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อรับทราบข้อเท็จจริง สภาพปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการสิทธิการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ภายใต้ประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ.2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป
หลังจาก กสทช. ได้รับแจ้งจากผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ว่า ไม่สามารถนำเนื้อหารายการไปเผยแพร่ในแพลตฟอร์มของตนเองได้ ภายใต้ประกาศ Must Carry ได้

เนื่องจากการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ได้มอบสิทธิการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในประเทศไทยแบบ Exclusive Rights ให้กับบริษัทเอกชนรายเดียวไปแล้ว
ที่ประชุม กสทช. จึงสั่งให้สำนักงาน กสทช. บังคับใช้หลักเกณฑ์ตามประกาศ "มัสต์แครี่" อย่างเคร่งครัด โดยมอบหมายสำนักงาน กสทช. มีหนังสือแจ้ง กกท. และกรมประชาสัมพันธ์ ในฐานะผู้ได้รับสิทธิการผลิต การบริหารสิทธิการถ่ายทอดสดในประเทศไทย และรับ-ส่งสัญญาณการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ให้ปฏิบัติตามข้อ 3 ของประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่ระบุให้รายการโทรทัศน์สำคัญ ซึ่งรวมถึงกีฬาในระดับประเทศและนานาชาติ ได้ออกอากาศโทรทัศน์เป็นการทั่วไปเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้
รวมทั้งดำเนินการให้ผู้ได้รับมอบสิทธิการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์จาก กกท. และกรมประชาสัมพันธ์ สามารถให้ผู้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ถือปฏิบัติตามประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไปได้

ทั้งมอบหมายสำนักงาน กสทช. มีหนังสือแจ้งให้ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ และประกอบกิจการโทรทัศน์ เพื่อให้บริการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล และผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ ทราบสิทธิและหน้าที่ตามประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบการถ่ายทอดสดมหกรรมซีเกมส์ครั้งที่ 33 ล่าสุดจากกประชนที่รับชมการถ่ายทอดสดผ่านกล่องAIS หรือAIS Playbox หรือกล่องรับชมอื่นๆ ก็ยังคงพบข้อความ.... "ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 มีข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์ ทำให้ไม่สามารถรับชมผ่านช่องทาง AIS PLAY และ AIS PLAYBOX ....." ได้

กลายเป็น "หนังม้วนเก่า" ที่ยังคงซ้ำรอยการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าบปี 2022 ที่จัดขึ้นที่ประเทศการ์ตาเมื่อ 2-3 ปีก่อน ที่แม้รัฐบาลโดย กสทช. จะเป็นหัวเรือหลักนำเงินกอบทุนของ กสทช. ไปกว่า 600 ล้าน ไปซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดมาให้ประชาชนคนไทยได้ดูฟรี
แต่กลับถูก กกท. นำเอาลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดที่ว่าไปประเคนบริษัทเอกชนรายเดียวกันนี้ผูกขาดทำตลาดอยู่รายเดียว จน ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์ มีรายการฟ้องร้องอิรุงตุงนังตามมาจนปัจจุบันก็ยังเคลียร์หน้าเสื่อกันไม่สะเด็ดน้ำ
แม้ก่อนหน้านี้ กสทช. จะ "แก้ลำ" ออกประกาศแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ กสทช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ "มัสต์แครี่" ที่ว่านี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจอดำแบบเดิมอีก
แต่สุดท้ายวันนี้ ก็ยังคงเผชิญกับปัญหา "หนังม้วนเก่า" ที่ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ยังคงไม่สามารถนำเนื้อหารายการไปเผยแพร่ในแพลตฟอร์มของตนเองภายใต้ประกาศ Must Carry ที่ว่าได้
นี่ขนาดว่าประเทศไทยเราเป็น "เจ้าภาพ" มหกรรมกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 เอง ใช้เงินภาษีประชาชนไปจัดเอง ไม่ได้ไปเอาเงินจากเอกชนรายไหนมาซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอด ประชาชนคนไทยเราเองก็ยังไม่ได้ดูฟรีอยู่อีก
ปัญหาและผลกระทบที่ตามมา ก็คือ ช่องข่าวต่างๆ ที่เอาภาพข่าวการแข่งขันไปใช้ ก็ทำได้อย่างจำกัด รายงานข่าวกันได้แต่สรุปตาราง เหรียญกีฬาที่แต่ละชาติได้รับไปเท่านั้น
จึงไม่แปลกใจเลยว่า เหตุใด มหกรรมซีเกมส์ครั้งนี้ ถึงได้ไร้สีสรร ผู้คนแทบไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารอะไร จนแทบจะเป็น “งานวัด” ไปแล้ว ไม่ได้รับความสนใจใดๆ จากประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งหากเป็นไปเช่นนี้ มหกรรมกีฬาระดับชาติ ก็แทบไม่ต่างจากกีฬาประจำหมู่บ้านหรือ อบต.

ส่งผลต่อ "สปอนเซอร์" อัดฉีดเหรียญกีฬาในอนาคตที่คงจะลดน้อยถอยลงไปโดยปริยาย ฮีโร่โอลิมปิค หรือฮีโร่เหรียญทองกีฬาแห่งชาติ กีฬาซีเกมส์ของชาติเรา ก็คงไร้เงินอัดฉีด ไร้สปอนเซอร์อัดฉีดไปโดยปริยาย
จนทุกฝ่ายออกมาสัพยอก แนะ กสทช. และ กกท. รวมทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาฯ ว่า เราน่าจะต้องเปลี่ยนชื่อมหกรรมกีฬาเพื่อมวลมนุษยชาติ จาก "ซีเกมส์" เป็น "ทรูวิชั่นเกมส์" จะเหมาะสมกว่าไหม และในอนาคตอันใกล้ ก็เปลี่ยนการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก หรือมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ในลักษณะนี้ไปเป็นชื่อเดียวกันนี้ให้หมด
เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว แม้จะสั่งการให้สำนักงาน กสทช. ทำหนังสือแจ้งไปยังการกีฬา หรือ กกท. และกรมประชาสัมพันธ์เพื่อให้ปฏิบัติตามประกาศ และกฎเหล็ก "มัสต์แครี่" ของ กสทช. อย่างเคร่งครัดอย่างไร
แต่คำตอบก็พอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่า จะออกมาอย่างไร

ก็คงหนีไม่พ้น "หนังม้วนเก่า" ตามรอย ฟุตบอลโลก 2022 ที่การ์ต้าเมื่อ 2 ปีก่อนนั่นแหล่ะ คืออาจจะได้ดูฟรีทุกแพลตฟอร์มกันในนัดสุดท้าย หรือวันสุดท้ายเอาโน้น จริงไม่จริง!!!!