
กรณีที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด ) บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เคาะเห็นชอบการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีอยู่กับบริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ทั้งในส่วนของการปรับเปลี่ยนการจัดเก็บประกันรายได้ผลตอบแทนขั้นต่ำ Minimum Guarantee แถมพกยังขยายสัญญาประกอบการดิวตี้ฟรี 2 สนามบินไปพร้อมด้วย
โดยขยายสัญญาประกอบกิจการดิวตี้ฟรีสนามบินดอนเมือง (ทดม.) ออกไปอีก 5 ปี และสัญญาประกอบการดิวตี้ฟรี ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอีก 2 ปี โดยยังคงมีการกำหนดวงเงินประกันรายได้ขั้นต่ำ Minimum Guarantee: MG ไว้เช่นเดิมแต่ได้ปรับเปลี่ยนฐานคำนวณใหม่ให้สอดคล้องกับแนวโน้มปริมาณนักท่องเที่ยว
ท่ามกลางข้อกังขาเป็นการตัดสินใจเพื่อประโยชน์แก่ ทอท. และผู้ถือหุ้นแน่หรือ หรือทำตามใบสั่งใครกันแน่?
ถือเป็นผลงานของ นางสาวปวีณา แคนดิเดท ผู้สมัคร ผอ.ใหญ่ ทอท. คนใหม่ ที่เอกชนรายใหญ่ลงขัน และอดีตประธานบอร์ด ทอท. ผู้ยิ่งใหญ่แห่งกระทรวงการคลัง ดันให้เป็น รองฯ และรักษาการฯ ผอ.ใหญ่ เพื่อให้บอร์ดเลือกเป็น ผอ.ใหญ่ เพื่อสร้างและรักษาผลประโยชน์แก่เอกชนรายนั้น ทั้งที่มีปัญหาเรื่องขัดหรือขาดคุณสมบัติอยู่ ตามข่าวในสื่อ ก็เลยกลายเป็นคาราซัง เลยกะให้รักษาการ ผอ.ใหญ่ เรื่อยๆ ลากยาวการสรรหา/รับสมัคร ผอ.ใหญ่ ไม่กล้าจบ ทั้งที่ควรสรุปจบไปนานได้แล้ว

ต้องย้อนรอยไปพิจารณาหนังสือร้องขอแก้ไขสัญญาประกอบกิจการดิวตี้ฟรี 3 สัญญา 5 สนามบินของกลุ่มคิงเพาเวอร์ หรือ KPD ที่ว่านี้ ที่ยื่นมายัง ทอท. เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2568 โดยขอให้ ทอท. ตอบข้อเรียกร้องของบริษัทภายใน 45 วัน หาไม่เช่นนั้นบริษัทก็พร้อมจะถอนสมอเลิกสัญญา
คิงเพาเวอร์โอดครวญว่า สัญญาประกอบการดิวตี้ฟรีที่กำหนดให้บริษัทต้องชำระเงินตอบแทนขั้นต่ำ Minimum Guarantee ในอัตราเฉลี่ยน 34% เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ตอบแทนรายปีที่กำหนดไว้ 20% ของรายได้รวมจากการขายสินค้าดิวตี้ฟรีนั้น ทำให้บริษัทแข่งขันได้ยาก ไม่เป็นธรรม ที่ผ่านมาต้องถูกบังคับให้จ่ายตอบตอบแทนขั้นต่ำมาโดยตลอด
ทั้งที่เมื่อครั้งประมูลนั่น บริษัทเป็นคนเสนอผลตอบแทนที่ว่าให้แก่ ทอท. เอง เพราะกลัวคู่แข่งปาดหน้าคว้าสัมปทานหรือเค้กก้อนยักษ์ของตนไป
ก็เหมือนกับบริษัทสื่อสารมือถือในอดีตที่ชิงดำสัมปทานมือถือ ทุกราย ต่างก็เสนอผลตอบแทนรายปีในสัดส่วน 15-20-25% ของรายได้จากค่าบริการ แต่ก็มีบริษัทสื่อสารยักษ์บางรายกลัวชวดสัมปทานจึงยื่นข้อเสนอเพิ่มเติม ยินดีจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำ Minimum Guarantee เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติม ในกรณีที่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ มีคนใช้บริการน้อย แต่บริษัทยังคงยืนยันจะจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำแก่รัฐ จึงทำให้เอาชนะคู่แข่งมาอย่างขาดลอย

วันนี้กลับจะมาโอดครวญอ้างสัญญาไม่เป็นธรรม ทำให้บริษัทแข่งขันได้อย่างลำบาก จนนำมาสู่การยื่นข้อเสนอแก้ไขสัญญาของจ่ายขาเดียว Single Revernnue Shareing ที่คิดรายหัวแทนว่างั้นเถอะ
ไม่เท่านั้นยังเลยเถิดไปถึงขั้นไฟเขียวขยายสัญญาสัมปทานแถมพ่วงไปให้อีก ซึ่งก็ไม่รู้จะอ้างเหตุผลกลใด แต่ถ้าจะอ้างเพื่อลดความเสี่ยงด้านรายได้แก่ ทอท. ในช่วงเปลี่ยนผ่านหัวเลี้ยวหัวต่อคงจะไม่ใช่แล้ว
ถ้าจะทำอย่างนี้นมันต้องต่อขยายสัญญาไปเลย 10-20 ปี หรือ 100 ปี ไปเลยจะเหมาะสมกว่า

ทั้งๆ ที่ผ่านมา ทอท. ก็เยียวยาให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรฐกิจ รวมทั้งคิงเพาเวอร์หมดแล้ว แถมให้มากกว่ารายอื่นด้วย โดยกำหนดให้บริษัทจ่ายผลตอบแทนแก่รัฐเฉพาะผลประโยชน์ตอบแทนรายปีเท่านั้น ไม่ได้เรียกเก็บตามวงเงินประกันรายได้ขั้นต่ำ
แม้จะอ้างอย่างไร แต่หากในอนาคตแม้จะมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้โดยสารยุโรปที่มักเป็นนักท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ หรือนักท่องเที่ยววัยเกษียณ
ที่ชื่นชอบการพักผ่อน ผจญภัย ไม่ใช่นักท่องเที่ยว "ขาช็อป" แบบนักท่องเที่ยวจีนหรืออินเดีย ที่ซื้อหรือหอบแม่้กระทั่งหวดหรือซึ้งนึ่งข้าวเหนียว หรือหม้อหุงข้าวไฟฟ้ากลับบ้าน
ปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นมาเหล่านี้ แม้จะขยายตัวขึ้นมาก็แทบไม่มีผลใดๆ ต่อผลตอบแทนที่ ทอท. ได้รับจากธุรกิจร้านดิวตี้ฟรี จึงไม่มีใครการันตีได้ว่า การแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ประเคนให้ไปจนสำลัก ถึงขั้นจะทำให้ ทอท. ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์อย่างไร
ก็หากจะยืนยันว่า ทอท. และรัฐได้ประโน์ ลดความเสี่ยงด้านรายได้ ผลตอบแทนของ ทอท. ในระยะยาว ก็ทำไมไม่ตั้งแท่นร่อขยายสัมปทานกันไปสัก 20-30 ปี หรือ 50 ปีกันไปเลยเล่า

ทั้งหลายทั้งปวง คือผลงานชิ้นโบแดงของนางสาวปวีณา ที่คงจะสะท้อนได้ชัดเจนว่า แก้สัญญาเพื่อประโยชน์ของรัฐ หรือ ทอท. หรือไม่?
นี่หากเป็นกรณีแก้สัมปทานมือถือ ภายใต้อุ้งมือ เอไอเอส หรือกลุ่มทุนอินทัช คงถูกนักร้องขาประจำ และองค์กรอิสระทั้งหลาย รวมทั้งศาลพาเหรดร้องสอบกันกราวรูดไปแล้ว
แก่งหิน เพิง