
เห็นหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ "นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกุล" ที่แม้จะเป็นเพียงรัฐบาล "ขัดตาทัพ" ที่มีภารกิจในการสร้างกระบวนการที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ได้ชื่อว่าเป็น"ต้นไม้พิษ" จากผลพวงรัฐประหารในอดีต ก่อนจะ "ยุบสภา" ในอีก 4 เดือนข้างหน้า (กุมภาพันธ์ 2569)
แต่เมื่อกางดูร่างนโยบายรัฐบาลภูมิใจไทย (ภท.) ที่รวมเอา "จุดแข็ง" ของนโยบายรัฐบาลในอดีตมาจัด "แพ็คเกจ" ไว้ในนโยบายของรัฐบาลแล้ว แถมยังโชว์ "พลังดูด" มหากาฬ ที่ดึงเอาแกนนำพรรคการเมืองน้อย-ใหญ่ เข้ามาอยู่ใต้ชายคาอย่างต่อเนื่อง ทุกฝ่ายต่างเชื่อมั่นว่า รัฐบาลภูมิใจไทยคงหวังจะ "ตีตั๋วยาว" ไปถึงการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งครั้งต่อไปแน่
หลายฝ่ายจึงออกโรงเรียกร้องให้นายกฯ อนุทิน กล้าตัดสินใจ อะไรที่รัฐบาลเพื่อไทยในอดีตได้แต่ "ซื้อเวลา" ไม่กล้าตัดสินใจ ก็น่าจะถึงเวลาที่นายกฯ อนุทิน จะใช้ความกล้าหาญตัดสินใจ โดยไม่ต้องรอไปถามคุณพ่อ หรือถามลุง ป้า น้า อาที่ไหนอีก!
รวมไปถึงการ "ล้างไพ่" หน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระอย่าง กสทช. ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แบ่งข้างแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ตัวประธาน กสทช. และรักษาการเลขาธิการ กสทช. ถูกร้องในเรื่องคุณสมบัติที่รอวันชำระสะสางมาเป็นปี จนทำให้ผู้คนเอือมระอากับบทบาทขององค์กรอิสระที่ว่านี้
แต่การเมืองไทยในช่วง "เปลี่ยนผ่าน" รัฐบาล มักมีภาพสะท้อนการจัดวางกำลังอำนาจโผล่ให้เห็นอยู่เสมอ อย่างล่าสุดที่ปรากฏภาพถ่ายการหารือร่วมระหว่าง "นายกฯ อนุทิน" กับ "ศ.ดร.บวรศุกดิ์ อุวรรณโณ" นักกฎหมายอาวุโส อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และที่ปรึกษากฎหมายมือฉมังของประเทศ ในวันที่นายกฯอนุทินเข้าไปทาบทามให้ ศ.ดร.บวรศักดิ์ มาเป็นรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย

ภาพที่ปรากฎกับสื่อในวันนั้น กลายมาเป็นชนวนให้หลายฝ่ายกลับมาตั้งคำถาม "นายกฯ อนุทิน" จะกล้าล้วงลูกผ่าตัดองค์กร กสทช. ได้แน่หรือ? ในเมื่อมีการเปิดเผยว่า บุคคลที่นั่งอยู่ในวงสนทนา กลับ มี "ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์" ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ " กสทช." ร่วมเฟรมอยู่ด้วย
นี่ไม่ใช่เป็นเพียงการ "พบปะส่วนตัว" แต่คือ การส่งสัญญาณของ "สายสัมพันธ์" อันแนบแน่นที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างนายกฯ อนุทิน - ศ.ดร.บวรศักดิ์ และ ศ.คลินิก นพ.สรณ ประธาน กสทช. ผู้นี้ จนก่อให้เกิดคำถามตามมา แล้วนายกฯ จะกล้าผ่าตัดองค์กร กสทช.หรือ?
#นายกฯ อนุทิน-บวรศักดิ์-สรณ ล้วนคน "กากี่นั๊ง"
ย้อนไปเมื่อปี 2561 "ครอบครัวชาญวีรกูล" นำโดย ชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้เคยบริจาคเงิน 20 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยมี นพ.สรณ อยู่ในคณะแพทย์ผู้รับมอบด้วย (ตามรูปประกอบ)
นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความใกล้ชิดระหว่าง นพ.สรณ กับแกนนำพรรคภูมิใจไทยที่มีมาอย่างยาวนาน และเมื่อ ศ.คลินิก นพ.สรณ ก้าวขึ้นมาเป็นประธาน กสทช. หน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระที่มีอำนาจในการกำกับและจัดสรรคลื่นความถี่และยังมี "กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือ "กองทุนยูโซ่" Universal Service Obligation : USO ซึ่งถือเป็น “ขุมทรัพย์” ขนาดใหญ่ที่กลุ่มทุนทางการเมือง พรรคการเมืองต่างหมายปองจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วยกันทั้งสิ้นผ่านกลไกความสัมพันธ์อันหลากหลาย

ไม่แต่เพียงเท่านั้น ก่อนหน้านี้เมื่อนายอนุทินในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เดินเกมอย่างสุดลิ่มเพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยมีพฤติกรรมการกระทำที่เข้าข่ายขัดจริยธรรมทางการเมืองอย่างร้ายแรงนั้น
แม้รัฐบาลเพื่อไทย (พท.) จะ "แก้เกมทางการเมือง" ด้วยการทำหนังสือเพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ "ยุบสภา" แต่ก็เป็น "ศ.ดร.บวรศักดิ์" ที่ออกโรงกระตุกเบรกทุกฝ่ายว่า อาจเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นเพียง "รัฐบาลรักษาการ" ตัวรักษาการนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทูลเกล้าฯ "ยุบสภา" ได้
ทำให้ถนนทุกสายต้องมาลงเอย ด้วยการให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเดินหน้าโหวตเลือก "นายกรัฐมนตรีคนใหม่" เท่านั้น เป็นเหตุที่ทำให้พรรคประชาชน (ปชน.) ตัดสินใจเทคะแนนเสียงให้นายอนุทินได้เป็นนายกฯ สมใจอยาก! กลายเป็นจุดแตกหักที่ทำให้พรรคเพื่อไทยประกาศจะไม่ยอมสังฆกรรมร่วมเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาชน แต่จะขอทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน (และแค้น) อิสระแทน!

และฉับพลันที่ "นายกฯ อนุทิน" เปิดตัว "ว่าที่รัฐมนตรี" คนนอก 6-7 ราย ที่นายกฯ ลงทุนทาบทามด้วยตนเองเพื่อเข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ที่ห้วงที่ประเทศต้องการฟื้นฟูความเชื่อมั่น ฟื้นฟูเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้มหามิตรข้างเคียงที่คอยลอบกัดอยู่นั้น
โดย 1 ในรัฐมนตรีคนนอกที่นายกฯ อนุทิน เชื้อเชิญให้เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายของรัฐบาลก็คือ "ศ.ดร.บวรศักดิ์" นักนิติศาสตร์อาวุโสผู้นี้ ทำให้ ศ.ดร.บวรศักดิ์ ผู้นี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ที่ปรึกษากฎหมายเบื้องหลังเท่านั้น แต่กำลังก้าวเข้ามาเป็นผู้เล่นตัวจริง

บทบาทของ "ศ.ดร.บวรศักดิ์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายจึงไม่ได้เป็นเพียงการสนับสนุนด้านนโยบาย หรือเป็น “กลไกสำคัญ” ที่จะทำให้โครงการขนาดใหญ่ของรัฐผ่านไปได้อย่างราบรื่น?
แต่ยังทำให้เห็น "จิ๊กซอว์" ความสัมพันธ์ระหว่าง "นายกฯ อนุทิน" และ "ศ.คลินิก นพ.สรณ" ประธาน กสทช. เด่นชัดขึ้นมาเป็นลำดับ เหตุใดจึงมีภาพประธาน กสทช. ร่วมวงสนทนาอยู่ในเฟรมเดียวกัน นั่นเพราะ ศ.ดร.บวรศักดิ์ ยังทำหน้าที่เป็น "ประธานที่ปรึกษากฎหมาย" ของประธาน กสทช. ด้วยอีก

สิ่งที่เห็นวันนี้ ไม่ใช่แค่เพียง “ภาพถ่ายในวงหารือ” แต่นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่าง "นายกฯ อนุทิน – นพ. สรณ – ศ.ดร.บวรศักดิ์" ที่ผูกโยงเข้าหากันอย่างแน่นแฟ้น ท่ามกลางการจัดสรรงบ USO มูลค่านับหมื่นล้านบาท
นั่นหมายความว่า ในกระบวนการพิจารณาโครงการขนาดใหญ่ของ กสทช. ไม่เพียงจะมีมิติด้านเทคนิค แต่ยังมี “มือกฎหมาย” ที่ทรงพลังร่วมวางแนวทางอีกด้วย และยังทำให้โครงสร้างอำนาจทางการเมืองของทั้งสามคนมีความโยงใยที่แทบจะแยกกันไม่ออก!
สิ่งที่อยู่ตรงกลาง คือ "กองทุน USO" ซึ่งปัจจุบันกำลังเข้าสู่การพิจารณา “แผน 4” โดยตัวเลขที่ถูกพูดถึงในเบื้องต้น คือ 9,000 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริง มีการรวบรวมงบประมาณล่วงหน้า 3 ปี ทำให้เม็ดเงินพุ่งสูงถึง 24,000 ล้านบาท
โดยมีโครงการสำคัญภายใต้แผนนี้ อาทิ โครงข่ายไฟเบอร์ออปติกสำหรับโรงเรียนคุณภาพ 1,808 โรงเรียนงบประมาณ 1,200 ล้านบาท โครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายสำหรับงานวิจัยขั้นสูงของประเทศงบ 3,402.82 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายด้านโครงข่าย 2,100 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมกว่า 600 ล้านบาท ทั้งสองโครงการอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและทั้งนวัตกรรม (อว.) ที่ถูกวางรากฐานไว้ในยุครัฐมนตรีจากภูมิใจไทย แต่ต้องมาสะดุดเอาเมื่อมีการเปลี่ยนขั้วมาเป็นรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ก่อนที่สัญญาณล่าสุดจะชี้ว่า โครงการกำลังจะกลับมาอยู่ในมือภูมิใจไทยอีกครั้ง

คำถามที่ยังรอคำตอบ เมื่อบุคคลที่มีสายสัมพันธ์ชัดเจน ทั้งในแง่การเมือง องค์กรอิสระ และกฎหมาย กำลังเข้ามามีบทบาทร่วมกันในโครงการหมื่นล้าน การพิจารณาจะยังคง “เป็นอิสระ” อยู่หรือไม่?
ยิ่งเมื่อมีกระแสกดดันนายกรัฐมนตรีให้ต้องเดินหน้ากระบวนการทูลเกล้าฯ ให้ประธาน กสทช. ต้องพ้นจากตำแหน่งจากปมการขาดคุณสมบัติตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ (พ.ร.บ.กสทช.)
คำถามก็คือ..ประชาชนจะได้เห็น การใช้จ่ายงบประมาณที่โปร่งใสเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ หรือสุดท้ายแล้วงบก้อนนี้จะเป็นเพียง “พลังหล่อเลี้ยงเครือข่ายกลุ่มขั้วการเมือง” เท่านั้น!!!