
สภาผู้บริโภคตีปี๊บเชิญชวนผู้บริโภคร่วมลุ้นคำพิพากษากรณีฟ้อง กสทช. เพิกถอนมติควบรวม "ทรู-ดีแทค" ส่งเสริมผูกขาด ทำผู้บริโภคอ่วมถ้วนหน้า ด้าน สว.ร่วมถล่มปมอนุมัติควบรวม สะท้อนความล้มเหลว กสทช. ชัดเจน ไร้มาตรการเฉพาะคุ้มครองผู้บริโภค แนะนำโมเดลอียูมาใช้
สภาผู้บริโภค ตีปี๊บเชิญชวนผู้บริโภคร่วมลุ้นคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ต่อกรณีการควบรวมกิจการ "ทรู-ดีแทค" 26 กันยายนนี้ โดยระบุว่า ก่อนเดือนตุลาคม 2565 ผู้ใช้มือถือทั่วประเทศยังคงจำได้ถึงทางเลือกในการซื้อแพ็กเก็จอินเทอร์เน็ตมือถือที่มีให้เลือกมากมายในตลาดที่มีการแข่งขันจากผู้ประกอบการใหญ่อย่างน้อยสามราย

แต่หลังจากที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีมติ "รับทราบ" การควบรวมธุรกิจระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ทำให้ตลาดมือถือเข้าข่ายผูกขาดเมื่อเหลือคู่แข่งใหญ่ในตลาดเพียงสองค่าย ทางเลือกของผู้บริโภคถูกจำกัดลง ในขณะที่ราคาค่าบริการสูงขึ้น แต่คุณภาพลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ในวันที่ 26 กันยายนนี้ สภาผู้บริโภคเชิญชวนให้ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากตลาดผูกขาดที่เกิดจากการ ควบรวมทรู-ดีแทค ร่วมติดตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในคดีที่สภาผู้บริโภคฟ้องร้องต่อ กสทช. ให้ยกเลิกมติดังกล่าวด้วยเหตุที่การควบรวมทำให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อผู้บริโภคที่ใช้บริการมือถือทั่วประเทศ
คดีนี้นับเป็นจุดประเด็นการกำกับดูแลอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทย ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน สิทธิในการเลือกสินค้าและบริการของผู้บริโภค และบทบาทของหน่วยงานกำกับดูแล เมื่อศาลปกครองกลางจะมีคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.ย.นี้ ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดต่างจับตาอย่างใกล้ชิด ผลในคดีนี้จะเป็นแนวทาง ไม่เฉพาะกรณีทรู – ดีแทคเท่านั้น แต่เป็นแนวทางการควบรวมธุรกิจ การกำกับดูแล และสิทธิของผู้บริโภคในอนาคต
(อ่านรายละเอียดต่อได้ที่เว็บไซต์ https://www.tcc.or.th/true-dtac-court-26sep/)
#สว.ขุดผลงานควบรวม สับเละ กสทช.
ในการประชุมวุฒิสภา สมัยสามัญ ครั้งที่20 เมื่อวันจันทร์ที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของ กสทช. ประจำปี 2567 ปรากฏว่าที่ประชุม สว. มีการอภิปรายถึงบทบาทการทำหน้าที่ของ กสทช. ในช่วงที่ผ่านมาอย่างรุนแรง โดย นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย ได้กล่าวถึงกรณีการควบรวมกิจการของทรูและดีแทค ในบริบทสำคัญว่า ทำไม "มาตรการเฉพาะ" จึงเป็นหัวใจของการคุ้มครองผู้บริโภค

โดยระบุว่า มติเสียงข้างน้อย 3 : 2 ที่เป็นจุดเปลี่ยน ในขณะที่ภาคประชาชนและผู้บริโภคมองว่า กสทช. มีอำนาจในการอนุมัติควบรวม แต่ กสทช. กลับมีมติ 3 ต่อ 2 ว่าตนเอง ไม่มีอำนาจอนุมัติ ทำได้เพียง "รับทราบ" การควบรวมเท่านั้น ดังนั้น "มาตรการเฉพาะ" จึงคือเครื่องมือเดียวที่เหลืออยู่
การตัดสินใจดังกล่าว ทำให้ "เงื่อนไขและมาตรการเฉพาะ" ที่ กสทช. ออกมาบังคับใช้หลังการควบรวม กลายเป็นเครื่องมือเพียงชิ้นเดียวที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการคุ้มครองผู้บริโภคและผลประโยชน์ของสาธารณะ
"เมื่อมาตรการเฉพาะกลายเป็นหัวใจสำคัญ คำถามคือ ที่ผ่านมาได้ กสทช. ทำหน้าที่ในการตรวจสอบและกำกับดูแลตามมาตรการเหล่านั้นไปถึงไหนแล้ว เชื่อมโยงกับความล้มเหลวที่เคยสนทนากันหรือไม่ คำถามนี้สอดคล้องกับประเด็นที่เราเคยคุยกันไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น มาตรการลดค่าบริการ 12% ที่เป็นเพียง "ภาพลวงตา" การไม่แต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระมาเกือบ 3 ปี คณะอนุกรรมการที่ว่างเว้นจากการทำหน้าที่"

สว.เทวฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า การควบรวมนี้ ถูกกล่าวถึงในรายงานผลการปฏิบัติงานของ กสทช. ปี 2567 หน้า 203-204 ซึ่งในรายงานระบุว่า สำนักงาน กสทช. ได้มีการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามเงื่อนไขเหล่านี้ต่อที่ประชุม กสทช. เป็นระยะ แต่คำถามถึงประสิทธิภาพที่แท้จริงของการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งโดยสรุปแล้ว ข้อมูลในรายงานนี้ได้ให้ภาพที่ชัดเจนว่า การที่ กสทช. เลือกที่จะใช้แค่การ "รับทราบ" แทนการ "อนุมัติ" ได้ทำให้ "มาตรการเฉพาะ" กลายเป็นความหวังเดียวของผู้บริโภค
ดังนั้น การที่มาตรการเหล่านี้ไร้สภาพบังคับและล้มเหลวโดยสิ้นเชิง อย่างที่เราได้สนทนากันไป จึงไม่ใช่แค่ความบกพร่องในการปฏิบัติงาน แต่เป็นการทำลายเครื่องมือชิ้นสุดท้ายที่ควรจะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง

ทางด้าน นายพรชัย วิทยเลิศพันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวอภิปรายประเด็นการกำกับดูแลควบรวมกิจการทรู-ดีแทคนี้ว่า ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง กสทช. ในฐานะผู้กำกับดูแล ถูกเปรียบเสมือน กรรมการที่อนุญาตให้ผู้เล่นยักษ์ใหญ่ 2 ทีมรวมกัน แล้วลงแข่งในสนามที่มีผู้เล่นน้อยลง แม้จะมีการกำหนดเงื่อนไขเฉพาะหลังการควบรวม แต่กลับเป็นกติกาที่ "ไร้สภาพบังคับ"
"ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนคือ ยังไม่มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระมาเกือบ 3 ปีแล้ว นับตั้งแต่มีการควบรวมกิจการ ทำให้ข้อมูลด้านต้นทุนและค่าบริการที่บริษัทส่งมา ไม่เคยผ่านการตรวจสอบโดยคนกลางที่น่าเชื่อถือเลย ประเด็นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นภาพปัญหาที่ใหญ่กว่าแค่เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค แต่เป็นปัญหาในระดับโครงสร้าง การบริหารจัดการภายใน และความสามารถในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ซึ่งเชื่อมโยงกลับไปถึงกรณี "SMS ดูดเงิน" ว่า กสทช. จะปล่อยให้ปัญหาใหญ่เหล่านี้ยืดเยื้อต่อไปโดยไม่แก้ไข เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วหรือไม่"
#ลดค่าบริการ 12% แค่ "ภาพลวงตา"
สว.พรชัย กล่าวด้วยว่า มาตรการที่ กสทช. กำหนดให้ผู้ให้บริการลดค่าบริการลง 12% หลังการควบรวมนั้น ดูเหมือนจะเป็นเพียง "ภาพลวงตา" ที่สวนทางกับความเป็นจริง คือแทนที่ค่าบริการจะลดลง ข้อมูลกลับชี้ให้เห็นว่า อัตราค่าบริการเฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน (ARPU) ของทั้ง 2 ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่กลับเพิ่มสูงขึ้นถึง 5% และ 7% ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่า มาตรการดังกล่าวไม่ได้ผลจริงในการคุ้มครองผู้บริโภค

"ที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือ คณะอนุกรรมการที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลเรื่องนี้โดยตรง กลับว่างเว้นจากการทำหน้าที่มานานกว่า 14 เดือนแล้ว ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความรับผิดชอบและการปล่อยปละละเลยอย่างสิ้นเชิง ความล้มเหลวในการกำกับดูแลนี้ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถลดภาระให้ผู้บริโภคได้ แต่ยังส่งผลกระทบต่อโครงสร้างตลาดในระยะยาวอีกด้วย ผลจากการประมูลคลื่นความถี่ครั้งล่าสุด ทำให้ผู้เล่นรายย่อย หรือที่เรียกว่า MVNO (ผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือน) กำลังจะหายไปจากตลาด สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การกำกับดูแลเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม แต่เป็นการ "เปิดทางให้เกิดการผูกขาด" ในตลาดโทรคมนาคมของประเทศ"
#แนะดึงโมเดลแบบยุโรปมาใช้
เพื่อแก้ไขความล้มเหลวในการกำกับดูแลการควบรวม True-DTAC ซึ่งส่งผลให้ค่าบริการสูงขึ้นและการแข่งขันลดลง ตนจึงอยากให้ กสทช. ใช้ "มาตรการป้องกันการผูกขาดที่ต้นเหตุ" ตามแนวทางของคณะกรรมการยุโรป (European Commission) มาใช้ โดยใช้มาตรการเชิงโครงสร้าง (Structural Remedies) แทนที่จะใช้แค่มาตรการเชิงพฤติกรรม (เช่น สั่งลดราคา) ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล คณะกรรมการยุโรปจะเข้าไปปรับโครงสร้างตลาดเพื่อให้แน่ใจว่าการแข่งขันยังคงอยู่
ยกตัวอย่างมาตรการที่เป็นรูปธรรม คือการสั่งให้ขายคลื่นความถี่บางส่วน บังคับให้บริษัทที่ควบรวมกันต้องขายคลื่นความถี่บางส่วนที่ตนมีอยู่ให้กับผู้เล่นรายใหม่หรือรายเล็ก เพื่อให้คู่แข่งมีทรัพยากรที่จำเป็นในการแข่งขันต่อไปได้ หรือในบางกรณี อาจสั่งให้ขายบริษัทในเครือ (แบรนด์ลูก) ที่ให้บริการในตลาดเดียวกันออกไป เพื่อสร้างผู้เล่นรายที่ 3 หรือรายที่ 4 ที่แข็งแกร่งขึ้นมาในตลาด