
ชี้มติชอบด้วย กม. - มีการออกมาตรการเฉพาะ ขณะที่สภาผู้บริโภคยื่นอุทธรณ์ฯ พร้อมชวนผู้บริโภคโทรหาค่ายมือถือลดราคาแพ็กเกจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2568 ศาลปกครองกลางมีคําพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 2421/2565 คดีหมายเลขแดงที่ 2204/2568 ระหว่าง สภาองค์กรของผู้บริโภค ที่ 1 กับพวกรวม 5 คน ผู้ฟ้องคดี กับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
โดยมีบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) (บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จํากัด (มหาชน) (เดิม)) เป็นผู้ร้องสอดที่ 1 และบริษัท หลักทรัพย์ ฟินันซ่า จํากัด เป็นผู้ร้องสอดที่ 2

คดีนี้ ฟ้องคดีทั้งห้าฟ้องขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กสทช.) ในการประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 5/3565 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ระเบียบวาระที่ 5.1 รับทราบการรวมธุรกิจของผู้ร้องสอดที่ 1 เมื่อครั้งเป็นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) (ทรู) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จํากัด (มหาชน) (ดีแทค) และกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะให้ผู้ร้องสอดที่ 1 ปฏิบัติ
กับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ดำเนินการตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 โดยมีมติไม่อนุญาตให้มีการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู และบริษัท ดีแทค และเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งผู้ร้องสอดที่ 2 (บริษัท หลักทรัพย์ ฟินันซ่า จํากัด) เป็นที่ปรึกษาอิสระ
#ศาลฯ ยกฟ้องคดี กสทช. ไฟเขียวควบ TRUE-DTAC
โดยศาลปกครองกลางมีคําวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาคุณสมบัติของผู้ร้องสอดที่ 2 ((บริษัท หลักทรัพย์ ฟินันซ่า จํากัด) ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้งจนถึงวันที่จัดทำความเห็นประกอบการรายงานฯ แล้วเสร็จ ไม่ปรากฏว่า ผู้ถือหุ้นของผู้ร้องสอดที่ 2 เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท ทรู หรือบริษัท ดีแทค หรือบริษัทในกลุ่มหรือในเครือของทั้งสองบริษัท
และไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับทั้งสองบริษัทดังกล่าวในลักษณะที่อาจเป็นการขัดขวางการใช้วิจารณญาณอย่างอิสระในการให้ความเห็นเกี่ยวกับการดําเนินงานของบริษัท ทรู และบริษัท ดีแทค ตามข้อ 2.2 และข้อ 2.4 ของภาคผนวกท้ายประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ทั้งไม่ปรากฏว่า ผู้ร้องสอดที่ 2 มีลักษณะต้องห้ามในข้ออื่นๆ ของภาคผนวกท้ายประกาศดังกล่าว การแต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระจึงชอบด้วยข้อ 10 วรรคสอง ของประกาศเดียวกัน

โดยที่ประกาศมิได้กําหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะต้องรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ หรือรับฟังรายงานจากที่ปรึกษาอื่นๆ ก่อน อีกทั้งมติพิพาทมีผลผูกพันบริษัท ทรู และบริษัท ดีแทค เป็นการเฉพาะราย ไม่ใช่การออกระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่ง เกี่ยวกับการกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมที่มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป จึงไม่จําต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียหรือประชาชนทั่วไป ตามมาตรา 28 แห่ง พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 และตามกฎหมายอื่น
เมื่อได้รับรายงานความเห็นฯ ของผู้ร้องสอดที่ 2 แล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กสทช.) ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาการรวมธุรกิจของผู้ร้องสอด 1 ปรากฏว่า กรรมการผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จำนวน 2 คน เห็นว่า การรวมธุรกิจในกรณีนี้ไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน ตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดฯ โดยนัยของผลตามข้อ 9 ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจฯ โดยรับทราบการรวมธุรกิจ และมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะตามข้อ 12 ของประกาศ กสทช. ดังกล่าว
และกรรมการจำนวน 2 คน เห็นว่า กรณีนี้เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน และให้พิจารณาดำเนินการตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดฯ โดยอาจสั่งห้ามการถือครองกิจการหรือกำหนดมาตรการเฉพาะตามหมวด 4 ของประกาศ กทช. ดังกล่าว โดยมีกรรมการงดออกเสียง 1 คน เป็นกรณีที่ประชุมมีคะแนนเสียงเท่ากัน คือ 2 ต่อ 2 เสียง (งดออกเสียง 1 คน) จากจำนวนกรรมการที่มีอยู่ทั้งหมด 5 คน
จึงต้องบังคับตามข้อ 41 วรรคสาม ของระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ โดยประธาน กสทช. ออกเสียงเพิ่มอีกหนึ่งเสียง เป็นเสียงชี้ขาด ทำให้การลงมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีเสียงของผู้ที่เห็นว่า การรวมธุรกิจในกรณีนี้ไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน มีจำนวน 3 เสียง ซึ่งไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
ดังนั้น การที่ประธาน กสทช. ออกเสียงเพิ่มอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาดในการลงมติพิพาท จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยข้อ 41 วรรคหนึ่ง (2) และวรรคสาม ของระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ แล้ว

เนื่องจากการรวมธุรกิจของผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นการรวมธุรกิจระหว่างผู้มีอำนาจควบคุมของผู้รับใบอนุญาตกับผู้รับใบอนุญาตรายอื่นหรือผู้มีอำนาจควบคุมของผู้รับใบอนุญาตรายอื่นเกิดเป็นนิติบุคคลใหม่ แตกต่างกับการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน โดยการเข้าซื้อหรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละสิบ หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งหมดหรือบางส่วนเพื่อควบคุมนโยบายหรือการบริหารธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตรายอื่นที่จะต้องมีการขออนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติรับทราบการรวมธุรกิจของผู้ร้องสอดที่ 1 โดยกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะให้ผู้ร้องสอดที่ 1 ปฏิบัติจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายกฟ้อง
#สภาผู้บริโภคสู้ต่อ.. ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
ด้าน นายวศิน พิพัฒนฉัตร ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า การที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาไม่เพิกถอนมติที่ประชุม กสทช. เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2565 เรื่อง รับทราบการรวมระหว่างทรูและดีแทค โดยศาลฯเห็นว่า เป็นการรวมธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น แต่เนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุด สภาผู้บริโภคจะใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์คดีนี้ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป

“ศาลฯ วินิจฉัยว่า มติ กสทช. ที่รับทราบการรวมธุรกิจฯนั้น เป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากศาลเห็นว่า ในการรวมธุรกิจนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องขออนุญาตทุกเคส ทุกกรณีเสมอไป ส่วนการแต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระ ซึ่งสภาผู้บริโภคเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฯบอกว่า เป็นเพียงขั้นตอนในการปกครอง และศาลมองว่า บริษัทที่ปรึกษาอิสระดังกล่าว ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีผลเชื่อมโยงกับการรวมธุรกิจในครั้งนี้แต่อย่างใด จึงเป็นที่มาที่ศาลยกฟ้อง
ขณะที่ประเด็นการรับฟังความเห็นของประชาชน ก่อนที่ กสทช.จะมีมติออกมานั้น ศาลฯเห็นว่า ตัวกฎหมายและระเบียบ กสทช. ไม่ได้กำหนดบังคับว่า จะต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่งเราเองให้ความเคารพในคำพิพากษา แต่เราก็เห็นว่าประเด็นนี้ เป็นประเด็นที่อยากให้เห็นความสำคัญในเสียงของประชาชนด้วย เพราะเราในฐานะผู้บริโภคต่างก็ได้รับผลกระทบในการรวมธุรกิจในครั้งนี้” นายวศิน กล่าว

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า คดีนี้ ศาลพิพากษาว่า สภาผู้บริโภคมีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้ แต่ประเด็นที่สภาผู้บริโภคได้ยื่นฟ้องไป 8 ประเด็น เช่น เรื่องการแต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระ , การลงมติของ กสทช. , การลงมติพิเศษที่ให้ประธาน กสทช. ลงมติซ้ำ , การต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และกรณีว่าการรวมธุรกิจในครั้งนี้เป็นธุรกิจประเภทเดียวกัน เป็นต้น ถูกตีตกทั้งหมด
#ชวน ปชช. โทรหาค่ายมือถือ “ขอลดค่าบริการโทรศัพท์-อินเทอร์เน็ต”
น.ส.สารี ระบุว่า ในระหว่างการยื่นอุทธรณ์คดีนี้นั้น สภาผู้บริโภคจะมีการประสานงานกับเครือข่ายองค์กรสมาชิกของสภาผู้บริโภคกว่า 350 องค์กร ใน 58 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมกับชักชวนประชาชนให้ผู้บริโภคคุ้มครองตัวเอง โดยการโทรศัพท์ไปแจ้งขอลดค่าบริการโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตลง เพื่อลดกำไรของกิจการที่ผูกขาด เช่น การเปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตที่มีราคาถูกลงของทุกเครือข่าย เฉลี่ยคนละ 100-200 บาทต่อเดือน
ขณะเดียวกัน สภาผู้บริโภคจะเสนอให้ กสทช. ให้กำหนดเพดานราคาบริการพื้นฐาน ที่ทำให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ อาทิ บริการอินเทอร์เน็ตพื้นฐานหรือไวไฟ (Wi-Fi) ในราคาประมาณ 100 บาท/เดือน เพื่อสร้างหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการสื่อสารของคนไทย

ขณะที่ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า แม้คำพิพากษาของศาลจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่สภาผู้บริโภคยืนยันที่จะเดินหน้าต่อสู้เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคเห็นว่ากรณีนี้เป็นบทพิสูจน์ถึงข้อจำกัดของระบบกำกับดูแลด้านโทรคมนาคม และเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้บริโภคต้องหันมาพึ่งพากระบวนการยุติธรรมในฐานะที่พึ่งสุดท้าย
“กระบวนการยุติธรรมถือเป็นที่พึ่งสุดท้ายของผู้บริโภค เมื่อหน่วยงานกำกับดูแลไม่สามารถปกป้องประโยชน์สาธารณะได้ แต่เมื่อคำพิพากษายกฟ้อง สภาผู้บริโภคก็จะพิจารณาการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด” น.ส.สุภิญญา กล่าว

น.ส.สุภิญญา ระบุว่า นอกจากการต่อสู้ทางกฎหมายแล้ว สภาผู้บริโภคยังเตรียมเดินหน้าทำงานกับฝ่ายการเมือง เนื่องจากประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า โดยจะเสนอให้พรรคการเมืองแข่งขันกันนำเสนอนโยบายที่คุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคม เฉพาะประเด็นการแข่งขัน ราคา และคุณภาพบริการ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากการควบรวมกิจการครั้งนี้ รวมทั้งเสนอทำบันทึกข้อตกลงกับพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อผลักดันนโยบายคุ้มครองผู้บริโภคในระยะยาว
“การยกฟ้องคดีครั้งนี้ควรเป็นบทเรียนให้ฝ่ายนิติบัญญัติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขกฎหมาย กสทช. เพื่อปิดช่องว่างที่ทำให้การกำกับดูแลล่าช้าและไม่สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การควบรวมกิจการครั้งนี้สะท้อนปัญหาว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างอ้างว่าไม่มีอำนาจ ส่งผลให้ผู้บริโภคกลายเป็นฝ่ายเสียประโยชน์โดยตรง พร้อมย้ำว่าผู้บริโภคไม่ควรสิ้นหวัง และควรใช้โอกาสการเลือกตั้งครั้งหน้าในการส่งเสียงให้พรรคการเมืองใส่ใจปัญหานี้” น.ส.สุภิญญา กล่าว