
คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ จับมือ กฟผ. ร่วมถอดบทเรียนไฟดับครั้งใหญ่ในยุโรป "สเปน–โปรตุเกส" ชี้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตผู้คนในวงกว้างสะท้อนความเปราะบางของระบบพลังงาน ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องนำมาทบทวนโครงข่ายระบบไฟฟ้าของตนเองอย่างจริงจัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน สถาบันวิจัยพลังงาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกันจัดสัมมนาวิชาการเรื่อง "ไฟดับครั้งใหญ่ในยุโรป : จุดเปลี่ยนความมั่นคงพลังงาน" เพื่อประเมินความเปราะบางของระบบพลังงานในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชื่อมโยงผลกระทบจาก Climate Anomaly กับความมั่นคงของระบบโครงข่ายไฟฟ้า

โดย รศ.ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวเปิดสัมมนาว่า เป้าหมายการจัดงานในครั้งนี้ไม่ใช่แค่ฟัง แต่มุ่งหวังให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งผู้กำหนดนโยบาย วิศวกร นักวิจัย และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันออกแบบระบบพลังงานไทยให้สามารถรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนได้อย่างสมดุล ยั่งยืน และมีศักยภาพในการฟื้นตัวอย่างแท้จริง

#ความท้าทายของระบบพลังงานหมุนเวียน
ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล รองคณบดี ผู้อำนวยการสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน กล่าวถึงที่มาของการสัมมนาครั้งนี้ว่า เหตุการณ์ไฟดับในคาบสมุทรไอบีเรียครั้งนี้ เกิดจากความซับซ้อนหลายปัจจัย ทั้งการขาดความยืดหยุ่นในโครงข่ายไฟฟ้า การพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนสูง โดยไม่มีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ที่เพียงพอ รวมถึงสภาพอากาศสุดขั้ว (Climate Anomaly) ที่ก่อให้เกิดคลื่นความร้อนและลมแรงผิดปกติ ส่งผลให้สายส่งไฟฟ้าเสียหายเป็นวงกว้างในเวลาอันสั้น เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของระบบพลังงานยุคใหม่ ที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากทั้งธรรมชาติและโครงสร้างระบบที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน

"ภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นในทุกภูมิภาค ระบบพลังงานไม่อาจพึ่งพาความเสถียรแบบเดิมได้อีกต่อไป ความสามารถในการฟื้นตัว (resilience) และความยืดหยุ่นของโครงข่ายจึงเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบระบบพลังงานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กำลังเร่งเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างไทยและอาเซียน"
ทั้งนี้ จากบทเรียนของยุโรปชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการลงทุนเชิงระบบ เช่น การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Modernization) ให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์สุดขั้ว การพัฒนาและกระจายการใช้ระบบกักเก็บพลังงาน การจัดสรรสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างมีแผน ควบคู่กับพลังงานสำรอง และการสร้างระบบเตือนภัย และฟื้นฟูระบบอย่างรวดเร็วเมื่อเกิด blackout
#โรงไฟฟ้าหลักที่ต้อง "สมดุล-คู่ขนาน" พลังงานหมุนเวียน
นายธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่มีระบบไฟฟ้ามั่นคง เพราะว่าการวางแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศครอบคลุมถึงกำลังผลิตไฟฟ้าและระบบส่งไฟฟ้าที่เหมาะสมเพียงพอกับความต้องการไฟฟ้าในรายภูมิภาค

ที่ผ่านมา กฟผ. ได้มีการพัฒนาโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าระดับแรงดัน 500 KV ให้เป็นแกนหลักในการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าระหว่างภูมิภาค เพื่อเสริมความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าของประเทศ ขณะที่ด้านวางแผนด้านปฏิบัติการ(Operation Planning) ในการผลิตและส่งไฟฟ้า กฟผ.ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการควบคุมระบบไฟฟ้า เพื่อรักษาระดับของการผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้าให้มีความเพียงพอกับความต้องการใช้ รวมถึงพิจารณาความมั่นคงระบบไฟฟ้ารองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน
โดยการเตรียมความพร้อมกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองพร้อมจ่ายใน 3 ระดับ ประกอบด้วย
1) กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองพร้อมจ่ายทันที (Spinning Reserve) สามารถสั่งเพิ่มการผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้าได้ทันทีที่ระบบมีความต้องการ ปัจจุบันกำหนดให้มีค่าไม่น้อยกว่า 800 เมกะวัตต์ ทุกช่วงเวลา (ปริมาณเท่ากับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในระบบ)
2) กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองพร้อมจ่าย 5 นาที (Five Minutes Response Reserve) สามารถตอบสนองได้ภายในเวลา 5 นาที ในช่วงที่ระบบไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงความต้องการใช้ไฟฟ้า หรือเหตุการณ์ที่ความถี่ของระบบไฟฟ้าลดลงไปจากค่าปกติ ปัจจุบันกำหนดให้มีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองอย่างน้อย 750 เมกะวัตต์
3) กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองพร้อมจ่าย (Operational Reserve) สามารถสั่งเดินเครื่องเพิ่มหรือขนานเครื่องเพิ่มการผลิตจากโรงไฟฟ้าที่มีความพร้อมเริ่มเดินเครื่อง ให้ส่งจ่ายไฟฟ้าหากระบบมีความต้องการ เพื่อรองรับหากเกิดเหตุการณ์ขัดข้อง ป้องกันปัญหาไฟดับ
"แนวโน้มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลกและเหตุการณ์ไฟฟ้าดับที่ยุโรปชี้ให้เห็นว่า เมื่อระบบไฟฟ้ามีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นตามทิศทางการมุ่งสู่ในเรื่องพลังงานสีเขียว ต้องพัฒนาระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคงเพิ่มทั้งในด้านโรงไฟฟ้าหลัก ในการควบคุมการส่งจ่ายไฟฟ้าในภูมิภาคและโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ เพื่อสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และบริหารจัดการกำลังผลิตไฟฟ้าส่วนเกิน โดยนำพลังงานไฟฟ้ากลับมาใช้ในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูง รวมถึงเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) ที่มี Response Time เร็ว และการใช้อุปกรณ์เสริมแรงดันด้วย Reactive Power เช่น FACTS Device เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับบริเวณกว้างในประเทศไทย"

#พลังงานสะอาดกับความ "เปราะบาง"
รศ. ดร.สุรชัย ชัยทัศนีย์ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าเหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในสเปนและโปรตุเกส เมื่อวันที่ 28 เมษายน 68 ได้สร้างบทเรียนสำคัญให้กับระบบไฟฟ้าทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทยที่กำลังเดินหน้าสู่พลังงานสะอาด เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเมื่อระบบไฟฟ้ามีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนสูงถึง 50-70% อาจมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าได้

สำหรับประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในอนาคต การเตรียมความพร้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งในด้านการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS), เทคโนโลยี Smart Grid, รวมถึงการปรับปรุง Grid Code และนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถรองรับการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนที่สูงขึ้นได้
นอกจากนี้ การขยายตัวของพลังงานหมุนเวียนยังส่งผลต่อโครงสร้างต้นทุนของระบบไฟฟ้าโดยรวม เนื่องจากความไม่แน่นอนของการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลม อาจทำให้ต้องพึ่งพาโรงไฟฟ้าสำรองหรือระบบกักเก็บพลังงานมากขึ้น ซึ่งอาจพิจารณาให้เป็นส่วนหนึ่งของ Ancillary Services ซึ่งย่อมกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคง ดังนั้น นอกจากการลงทุนในเทคโนโลยีแล้ว ประเทศไทยจำเป็นต้องพิจารณาปรับนโยบายและกลไกตลาดไฟฟ้าให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงทางพลังงาน ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และราคาค่าไฟฟ้า
ด้าน ดร.พิมพ์สุภา เกาะช้าง นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ไฟฟ้าดับในยุโรป เป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงความจำเป็นในการออกแบบระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคงควบคู่กับการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าก้าวสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ได้อย่างมั่นคงในระยะยาว

โดยเสนอให้มีแผน Energy Resilience Roadmap ที่ครอบคลุมการพัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุน เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน และกลไกสร้างเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า พร้อมเปิดรับทางเลือกด้านพลังงานที่เหมาะสมกับบริบทของไทย เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านอย่างปลอดภัยและยั่งยืน
หมายเหตุ:
-เครดิต Facebook# https://www.facebook.com/ChulaEngineering?locale=th_TH