
ผู้คนในสังคมที่เสพข่าวผ่านโซเชียลคงกังขากับกรณีดราม่าดาราสาวชาวไต้หวัน “อันหยูชิง” ที่มาเที่ยวเมืองไทยในช่วงปีใหม่แล้วถูกตำรวจชั่วที่ตั้งด่านหน้าสถานทูตจีนรีดไถเงินไป 27,000 บาท จนกลายเป็นข่าวสะเทือนวงการสีกากี และทำให้ภาพพจน์ท่องเที่ยวไทยและตำรวจไทยปี้ป่น
ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งให้ ผบช.น. ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับตำรวจชุดปฎิบัติหน้าที่ในวันดังกล่าว เพื่อความกระจ่าง ทำให้รูปคดีพลิกไปพลิกมา หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตั้งด่านของ สน.ห้วยขวาง รวม 7 นาย พากันดาหน้าออกมาปฏิเสธเป็นพัลวันว่า ไม่มีการรีดไถ แค่ตั้งจุดสกัดตรวจวัดแอลกอฮอล์ตามปกติเท่านั้น และวันเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ชุดตั้งด่านก็เรียกตรวจตามปกติ โดยขอตรวจพาสปอร์ตก็ไม่พบว่าพกพา แถมยังเจอบุหรี่ไฟฟ้า (ในกระเป๋า/ในกางเกง) ด้วยอีก แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ดำเนินคดีอะไร แค่ว่ากล่าวตักเตือนไปว่าเป็นของผิดกฎหมายก่อนปล่อยตัวออกไป

แรงกระเพื่อมทางสังคมที่มีต่อกรณีดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง พยายามงัดหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิดเท่าที่หามาได้แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ยัดบุหรี่ไฟฟ้ารีดไถเงิน แต่เจ้าหล่อนถือบุหรี่ไฟฟ้าทั้งในระหว่างเดินช้อปปิ้งที่ตลาดนัดห้วยขวาง และที่โรงแรม แถมยังมีโชเฟอร์แท็กซี่โผล่มายืนยันอีกเสียงว่า สาวหมวยสาวไต้หวันดื่มจัด เมามายจนคุมสติไม่ได้อีกด้วย (แต่ดันมาโป๊ะแตกที่ภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งที่โรงแรม และที่เจ้าหล่อนเดินไปช้อปปิ้ง กลับเห็นดาราสาวไต้หวันยังคงเดินปร๋อ เล่นมือถือตามปกติขัดแย้งกับสิ่งที่บอกว่า เจ้าตัวเมามายโวยวายไม่ได้สติโดยสิ้นเชิง)
แม้ “เสี่ยชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์” จะออกโรงยืนยันว่า มีหลักฐานที่ชุดตั้งด่าน สน.ห้วยขวาง รีดเงินหมวยสาวชาวไต้หวันที่ว่านี้ และขอให้ บช.น. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำคดีอย่างตรงไปตรงมา หาไม่แล้วจะนำเอาหลักฐานออกมาประจานความพยายามบิดเบือนปกปิดการกระทำของลูกน้องในครั้งนี้
ล่าสุด ทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) มีคำสั่งเด้ง พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง เข้ากรุช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว ฐานบกพร่องต่อหน้าที่ไม่ยอมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด กรณีตรวจพบบุหรี่ไฟฟ้าแล้วไม่ดำเนินคดี แต่ก็ยังคงยืนยันว่า ยังไม่พบหลักฐานว่าชุดตั้งด่านมีการรีดเงิน
หลายคนคงสงสัยทำไมแค่พกพาบุหรี่ไฟฟ้าถึงมีความผิด เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินคดีได้ และแท้จริงแล้ว การพกพาและครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ หากเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แล้วเหตุใดกลับมีการวางขายกันเกลื่อนตามตลาดนัดกลางคืน ตรอกซอกซอยในย่านท่องเที่ยว วางขายแบกะดินกันเกร่อ เจ้าหน้าที่ก็ไม่เห็นจับกุม
และทำให้ผู้คนในสังคมพากันตั้งข้อกังขา บ้านเมืองเรากลับมีเรื่องเหลือเชื่อ พกพาบุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นสิ่งของต้องห้าม มีความผิดตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินคดีได้ แต่หากพกบ้องกัญชาหรือกัญชาอัดแท่งไปอย่างไรก็ไม่ผิดกฎหมาย (ยกเว้นสูบในที่สาธารณะ)

กม.ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าที่บ้าที่สุดในโลก
ขณะที่ประเทศไทยปลดล็อคเปิดเสรีกัญชา โดยไร้กฎหมายควบคุม ซึ่งแปลว่า จะซื้อหากัญชาเพื่อเสพหรือสันทนาการอย่างไรก็สามารถทำได้อย่างเสรี จะพกบ้องกัญชาไปพี้ในป่าเขาลำเนาไพรที่ไหนก็ทำได้ เพราะเจ้าหน้าที่ยังคงงมเข็มหากฎหมายที่จะมาควบคุมไม่ได้ ต้องไปอาศัยกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่าง พ.ร.บ.สมุนไพรควบคุม ประกาศคุ้มครองผู้บริโภค ห้ามสูบในที่สาธารณะบ้าง ห้ามพกพาไปในโรงเรียน มหาวิทยาลัย อะไรไปบ้างมาใช้
แต่กับ ”บุหรี่ไฟฟ้า” กลับยังคงกลายเป็นของต้องห้ามนำเข้าและห้ามซื้อขาย แต่กลับมีวางขายแบกะดินและซื้อขายในโลกโซเชียลกันเกลื่อน โดยที่เจ้าหน้าที่ได้แต่เอาหูไปนานเอาตาไปไร่ ขัดสนเมื่อไหร่ค่อยจับปรับฐานพกพาสิ่งของต้องดำแดง และห้ามนำเข้าหาเงินเข้ากระเป๋า กลายเป็นช่องทางรีดส่วยรีดไถสบายมือ
พูดกันตามตรง กฎหมายที่ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในบ้านเราโดยตรงนั้นยังไม่มี (ไม่ต่างจากกฎหมาย พ.ร.บ.กัญชง-กัญชา ในเวลานี้นั่นแหละ) แต่บุหรี่ไฟฟ้ายังคงถือเป็นควบคุมผลิตภัณฑ์ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นการป้องกันการโฆษณาผลิตภัณฑ์ยาสูบหรือบุหรี่เป็นหลัก โดยบุหรี่ไฟฟ้านั้นเข้าข่ายเป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบเพราะมีสารนิโคตินที่ส่งผลต่อร่างกายไม่แตกต่างไปจากบุหรี่ จึงเป็นสินค้าควบคุมที่ห้ามการโฆษณาในทุกวิถีทาง การตั้งโชว์หรือแสดงผลิตภัณฑ์ ณ จุดขาย เป็นสิ่งผิดกฎหมายต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือหากสูบในที่สาธารณะต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท เป็นต้น
แต่กรณีครอบครอง/พกพาบุหรี่ไฟฟ้านั้น หากพิจารณากันในแง่กฏหมาย จริงๆ แล้วไม่ผิดกฎหมายโดยตรง เพราะบ้านเรายังไม่มีกฎหมายรองรับในเรื่องนี้ แต่ที่เป็นความผิดนั้น เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2569 แก้ไข พ.ศ.2560 มาตรา 246 ที่กำหนดว่า “ผู้ใดนำเข้ามา หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร หรือเคลื่อนย้ายของออกโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 4 เท่าของราคาของ หรือทั้งจำทั้งปรับและให้ริบของนั้นทันที” และ มาตรา 246 “ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ ซึ่งของที่รู้ว่าเป็นความผิดตามมาตรา 242 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของราคาของ หรือทั้งจำทั้งปรับ”
นอกจากนี้ ยังมีประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง สินค้าต้องห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 ข้อ 3 ให้สินค้าตามบัญชีท้ายประกาศนี้เป็นสินค้าต้องห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 ซึ่งบารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า ได้ถูกกำหนดให้เป็นสิค้าต้องห้ามที่ว่านั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม กฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าว มุ่งบังคับใช้ไปที่ผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า-ออกออกเป็นหลัก หาใช่มุ่งเน้นไปที่บุคคลผู้พกพาหรือครอบครองโดยตรง กรณีการพกพาหรือครอบครองบุหรี่ไฟฟ้านั้น ถูกตีความว่าเข้าข่ายมาตรา 246 ฐาน ”รับไว้” ซึ่งของที่รู้ว่าผิดกฎหมายตามมาตรา 242 มีโทษจำคำไม่เกิน 5 ปีปรับไม่เกิน 4 เท่าของราคาของ ซึ่งว่ากันตามจริง ก็ยังไม่มีการจับกุมคดีใดที่ขึ้นไปถึงชั้นศาล เพราะผู้พกพา/ครอบครองที่ว่าจะไปรู้หรือว่ามันเป็นสิ่งของต้องห้ามนำเข้า-ส่งออก ยังไม่ได้เสียภาษีตาม พ.ร.บ.ศุลกากร หรือห้ามนำเข้า-ออกออกตามประกาศ กระทรวงพาณิชย์
ก็อย่างที่ดาราสาวไต้หวันบอกกับสังคม ”ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันผิดกฎหมาย เมื่อเห็นมันวางขายแบกะดินอยู่”
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 ที่ระบุห้ามให้บริการบารากุ บุรากุไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาเติม โดยกำหนดโทษ สำหรับผู้ขายหรือให้บริการมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ประกอบธุรกิจ ผู้ผลิต ผู้สั่งหรือนำเข้ามาเพื่อขายต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นกรณีการบังคับไปที่ผู้ขาย ผู้ให้บริการ หรือสถานที่ให้บริการเป็นหลัก กรณีการพกพา/หรือครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า จึงไม่เข้าเกณฑ์กฎหมายดังกล่าวโดยตรงอยู่ดี
แต่ด้วยความคลุมเครือไม่ชัดเจนของกฎหมายที่มีอยู่นี่แหล่ะ จึงเป็นเครื่องมือชั้นดีเลิศของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เอาไว้ใช้กับประชาชน นักท่องเที่ยวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เอาได้ทุกเมื่อ ประเภทหาเรียกตรวจรถราเมื่อไหร่เจอบุหรี่ไฟฟ้าก็จะกลายเป็นช่องทางแจ้งข้อหาไปก่อน แบบที่ดาราสาวไต้หวันเจอมากับตัวนั่นแหละ
หากจะถามว่า โทษของการพกพาหรือครอบครองอะไรที่ว่านั้นมันรุนแรงแค่ไหน ก็ต้องย้อนกลับไปดูที่บทบัญญัติมาตรา 246 ให้ดี โทษตามกฎหมายศุลกากรนั้นสามารถระงับคดีอาญาได้ หากยอมถูกปรับระงับคดี โดยมาตรา 246 นั้น กำหนดโทษปรับเอาไว้แค่ 4 เท่าของราคา แต่ใครหละจะบอกได้ว่าราคาบุหรี่ไฟฟ้าที่เจอนั้นมันเท่าไหร่? ในไต้หวัน จีนอาจแค่อันละ 200-300 บาท เมืองไทยที่วางขายแบกะดินอาจ 700-1,500 บาท ปรับ 4 เท่า ก็ยังแค่ 4,000-6,000 บาทเท่านั้น ยังไงมันก็ไม่ถึง 27,000 บาทแน่!
แต่ตราบใดที่ยังคงปล่อยให้กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้ายังคงคลุมเครืออยู่แบบนี้ มันก็ยังคงจะเป็นเครื่องมือรีดไถไปตลอดศกนั่นแหล่!!!