
แม้ “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)” จะเลื่อนการพิจารณาดีลควบรวมธุรกิจแห่งปี ระหว่าง บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ออกไปจากกำหนดเดิมเมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา ไปเป็นวันที่ 20 ต.ค.ศกนี้ ด้วยข้ออ้างต้องการรอข้อมูลผลการศึกษาเพิ่มเติมจากที่ปรึกษาอิสระต่างประเทศ ที่นัยว่า เป็นข้อมูลสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของ กสทช.
แต่การที่ กสทช. มอบหมายให้สำนักงาน กสทช. ยกร่าง “มาตรการเฉพาะ” จำนวน 14 ข้อ ที่จะเป็นมาตรการเยียวยาเพื่อรองรับผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ ก็ทำให้อดคิดและมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นเพียงการ “ซื้อเวลา” เพื่อรอจังหวะไฟเขียวดีลควบรวมธุรกิจเท่านั้น
เป็นการเลื่อนเคาะดีลควบรวมธุรกิจ เพียงเพื่อลดแรงกดดันที่กำลังถั่งโถมเข้าใส่ กสทช. และสำนักงาน กสทช. เท่านั้น และเพื่อสื่อให้สังคมได้เห็นว่า กสทช. ไม่ได้ผลีผลามเคาะดีลควบรวมไปตามใบสั่ง แต่ได้มีการพินิจพิเคราะห์ คำนึงถึงผลกระทบในทุกมิติ และมีการกำหนดมาตรการเฉพาะรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการอนุมัติควบรวมธุรกิจดังกล่าวเอาไว้แล้ว

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์ของผู้คนในสังคม และโดยเฉพาะเครือข่ายเพื่อผู้บริโภคที่ยังคงถั่งโถมเข้าใส่ กสทช. และสำนักงาน กสทช. ว่า กำลังเล่น ”ปาหี่” เพื่อหวังปิดดีลควบรวมธุรกิจตาม “ใบสั่ง” กลุ่มทุนธุรกิจยักษ์ที่หวังจะ “กินรวบ” ผูกขาดธุรกิจในเมืองไทยเท่านั้น เพราะบรรดาเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะที่สำนักงาน กสทช. กำลัง “ตีปี๊บ” อยู่นั้น ล้วนเจริญรอยตาม “คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า” (กขค.) ที่เคย “เสียรังวัด” ให้กับการอนุมัติดีลควบรวมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งให้กับกลุ่มทุนยักษ์ที่มีส่วนแบ่งในตลาดค้าปลีกและค้าส่งมากกว่า 50% และมีอำนาจเหนือตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ให้สามารถควบรวมธุรกิจกับยักษ์ค้าปลีก-ค้าส่ง จนส่งผลให้มีอำนาจเหนือตลาดสูงยิ่งขึ้นไปอีก จนเกือบจะผูกขาดตลาดค้าปลีก-ค้าส่งเบ็ดเสร็จ
แม้เส้นทางการพิจารณาดีลควบรวมธุรกิจระหว่าง “ทรูและดีแทค” ของ กสทช. จะถอดแบบและเจริญตามรอยตามการควบรวมธุรกิจในกิจการค้าปลีกค้า ระหว่างบริษัทซีพี รีเทล โฮลดิ้ง และบริษัท ซีพี รีเทล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ที่รุกคืบเข้าซื้อกิจการ “เทสโก้ โลตัส” จากกลุ่มเทสโก้ สโตรส์ (ประเทศไทย) ก่อนจะดำเนินการควบรวมธุรกิจเข้ากับกลุ่มแม็คโคร และเซเว่น-อีเลฟเว่น ในปัจจุบัน
แต่ทั้งสองกรณี มีทั้ง “ความเหมือน” และ “ความแตกต่าง” ที่ไม่อาจจะนำมาเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาว่า เมื่อรัฐและหน่วยงานกำกับดูแลได้อนุมัติให้มีการควบรวมธุรกิจในกิจการค้าปลีกและค้าส่งไปแล้ว ก็ต้องพิจารณาอนุมัติดีลควบรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทคไปด้วย เพราะทั้งสองกรณีมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!

กรณีการพิจารณาดีลควบรวมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ระหว่างบริษัท ซีพี รีเทล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด และซีพี รีเทล โฮลดิ้ง ยักษ์ค้าปลีกและค้าส่งของเมืองไทย กับ ”เทสโก้ โลตัส” ของกลุ่มเทสโก้สโตรส์ (ประเทศไทย) ของ “คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า” หรือ กขค. นั้น แม้จะมีการกำหนดเงื่อนไข 7 ข้อ ที่ผู้ขอควบรวมจะต้องดำเนินการก่อนและหลังการควบรวมธุรกิจ แต่ในท้ายที่สุด กาลเวลาก็ได้พิสูจน์ออกมาให้เห็นแล้วว่า มาตรการทั้ง 7 ข้อที่ กขค.กำหนดขึ้นมารองรับผลกระทบที่ว่าก็หาได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมอะไร
จนทำให้คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ถูกผู้คนในสังคมและโดยเครือข่ายภาคประชาชนสัพยอกเอาว่า “มีก็เหมือนไม่มี” อยู่ในปัจจุบัน
ขณะที่ดีลควบรวมธุรกิจระหว่าง ทรูและดีแทค ที่ กสทช. มีคิวจะเคาะกันในสัปดาห์หน้านี้ แม้จะมีความเหมือนกันตรงที่เป็นการอนุมัติให้ธุรกิจที่มีอำนาจเหนือตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ให้สามารถดำเนินการควบรวมกิจการที่จะทำให้มีอำนาจเหนือตลาดยิ่งขึ้นไปอีก โดยมีการกำหนด “มาตรการเฉพาะ” 14 ข้อ เพื่อรองรับผลกระทบทจะเกิดขึ้นต่อผลประโยชน์สาธารณะ
และทั้งสองกรณี ไม่ว่าจะกรณีดีลควบรวมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งระหว่างกลุ่มซีพีกับเทสโก้ โลตัส และกรณีการควบรวมธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ระหว่างทรูกับดีแทค ล้วนเป็นการดำเนินการที่หมิ่นเหม่ขัดต่อกฎหมายทั้งสิ้น ซึ่งหากเป็นกรณีในต่างประเทศ หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องสั่งระงับการควบรวมธุรกิจกันตั้งแต่แรกแล้ว แต่สำหรับประเทศไทย คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) กลับไฟเขียวดีลควบรวมค้าปลีก-ค้าส่งยักษ์ดังกล่าว
แต่ทั้งสองกรณีก็มีความแตกต่างกันที่ไม่สามารถจะนำมาเปรียบเทียบ หรือยึดถือเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการได้
เพราะกรณีการอนุมัติดีลควบรวมธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งของ “คณะกรรมการแข่งกันทางการค้า” หรือ กขค. นั้น แม้ผลพวงของการไฟเขียวการควบรวมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง จะทำให้กลุ่ม ซีพี. ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงกว่า 50% และมีอำนาจเหนือตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มีอำนาจเหนือตลาดยิ่งขึ้นไปอีก แต่ในส่วนของผู้บริโภคก็ยังคงมีทางเลือกในการเลือกซื้อสินค้าในหนทางเลือกอื่นๆ เลือกที่จะไม่เข้าห้าง-ร้านโมเดิร์นเทรด หรือค้าปลีกของเครือข่ายกลุ่มทุนรายดังกล่าวได้
ดังนั้น แม้ก่อนหน้านี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่าย 36 องค์กรผู้บริโภคจะยื่นฟ้อง กขค. ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการ กชค. ข้างต้น แต่ก็ยากจะเอาผิด กขค. และสำนักงานฯ ได้
แต่กรณีดีลควบรวมธุรกิจ ”ทรูและดีแทค” นั้น ต่างออกไป หาก กสทช. ไฟเขียวดีลควบรวมทรู-ดีแทคออกไป มันคือการผูกขาดกิจการสื่อสารโทรคมนาคมโดยอัตโนมัติ ด้วยคลื่นความถี่และเทคโนฯ เป็นการลดจำนวนผู้ให้บริการ (Operator) ทำให้ผู้บริโภคไม่มีทางเลือก หากไม่เลือกเครือข่าย ก. ก็ต้องเลือกเครือข่าย ข. เท่านั้น ต่างจากธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง โดยสิ้นเชิง!

ที่สำคัญ พ.ร.บ.กสทช. และประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 และประกาศ กทช. เรื่องมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาด หรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ยังกำหนดให้ กสทช. มีอำนาจหน้าที่เพียง 2 ภารกิจหลักเท่านั้น คือ “กำกับและดูแล” ให้ตลาดมีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม การดำเนินการใดๆ ในอันที่จะไปกระทบต่อหลักการข้างต้น ทำให้ทางเลือกของผู้บริโภคลดลงจะกระทำไม่ได้เลย
หากเป็นการดำเนินธุรกิจตามปกติ เมื่อ กสทช. เห็นว่า ตลาดมีการผูกขาด หรือผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีอำนาจเหนือตลาด มีพฤติการณ์เอารัดเอาเปรียบผู้ใช้บริการ มีอำนาจเหนือตลาดกำหนดเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้บริการ ทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการถูกเอาเปรียบ กสทช. ต้องงัดกฎหมายที่มีเข้าไปกำกับดูแลทันที
แต่กรณีการควบรวมธุรกิจที่จะไปกระทบต่อตลาด ก่อให้เกิดการผูกขาด ลดทอนการแข่งขันนั้น กสทช. ต้องสั่งระงับการดำเนินการโดยทันที ไม่ใช่ไปพิจารณาให้ผู้ประกอบการที่มีอำนาจเหนือตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วควบรวมกิจการด้วยข้ออ้าง ไม่แน่ใจในอำนาจที่ตนเองมี ทั้งที่การควบรวมดังกล่าว ไม่ต้องไปพิจารณาในมิติอื่น ก็เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่า จะส่งผลต่อการลดการแข่งขัน และมีอำนาจเหนือตลาด ซึ่งไม่ว่าจะพิจารณาในแง่ใด กสทช. ก็ไม่สามารถพิจารณาอนุมัติให้ได้
ดังนั้น หาก กสทช. ไฟเขียวดีลควบรวมในครั้งนี้ ก็ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มยักษ์สื่อสาร ทำให้เกิดผูกขาด ลดการแข่งขัน ซึ่งขัดประกาศ กสทช. และ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ (พ.ร.บ.กสทช.) เข้าข่ายการใช้อำนาจ ม.157 อย่างแน่นอน!