
“โฮปเวลล์” ฆ่าไม่ตายยิ่งกว่าแมวเก้าชีวิต ลุกขึ้นมา "ดับเครื่องชน" ขบวนการป้ายสีข้อมูลเท็จ อ้างบริษัทจ่ายสินบนหมื่นล้านล้มคดี พร้อมเปิดโปงพฤติกรรมนักการเมืองใหญ่สมรู้ร่วมคิดหวังลบล้างคำพิพากษา เชื่อหากคดีนี้ทำได้เขากระโดงไม่เหลือซาก
นายคอลลิน เวียร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกในงานแถลงข่าว “ฆ่าโง่..จุดหักเหโฮปเวลล์ : ภัยคุกคามอธิปไตยของชาติ” ตอบโต้กรณีมีการกล่าวหาบริษัท โฮปเวลล์มีการติดสินบนนับ 10,000 ล้านบาท เพื่อล้มคดี ก่อนที่ศาลปกครองกลางจะมีคำพิพากษาก่อนหน้าให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ไม่ต้องจ่ายชดเชยความเสียหายใดๆ ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดก่อนหน้านี้ และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ีมีคำวินิจฉัยตั้งแต่ปี 2551 ให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท.ร่วมกันชดเชยความเสียหายแก่บริษัท โดยยืนยันว่าเป็นข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จอย่างสิ้นเชิง!
“ขอยืนยันว่า บริษัทโฮปเวลล์ฯ เป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สากล เราให้การเคารพต่อกฎหมาย ตลอดจนกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด ยึดถือการดำเนินกิจการด้วยความสุจริตโปร่งใส ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการกระทำใดๆ ก็ตามที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดสินบน”

ด้าน นายสัญญา สถิรบุตร อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร ในฐานะที่ปรึกษา บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า คดีโฮปเวลล์มีกระบวนการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม และมีกรณีสมคบคิดกันใช้อำนาจโดยมิชอบ ภายใต้กลไกอำนาจฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ คุกคามอำนาจตุลาการ โดยมุ่งหวังล้มล้างคำพิพากษาศาลที่เป็นที่สุดและเด็ดขาดแล้ว

ข้อน่าสังเกตที่สะท้อนพฤติการณ์ไม่เคารพคำตัดสินของศาลนั้น เห็นได้จาก คล้อยหลังคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2562 ที่สั่งให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟ (รฟท.) คืนเงินลงทุนและเงินค่าตอบแทนตามสัญญาก่อสร้างโครงการระบบขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับกรุงเทพมหานครจำนวน 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัทภายใน 180 วัน รัฐบาลในเวลานั้นกลับออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 143/2562 ลงวันที่ 20 มิ.ย.2562 ตั้งคณะทำงานตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานกรณีโฮปเวลล์ โดยระบุว่า ผลของคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่รัฐ


ทั้งนี้ คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 143/2562 เป็นเหมือนสารตั้งต้นที่นำไปสู่กระบวนการล้มล้างคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ผ่านกระบวนการผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีกระทรวงคมนาคม และ รฟท.ที่เป็นหน่วยงานรัฐเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน โดยให้การรถไฟอ้างสิทธิตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อให้ส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ ตามมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบต่อคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้ว อีกทั้งบทบัญญัติพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560 มาตรา37(2) มีใจความสำคัญระบุชัดเจนว่า เรื่องที่ศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้วห้ามมิให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณา
อีกทั้งตามมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญ ก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบต่อคำพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้ว และตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560 มาตรา 37(2) มีใจความสำคัญระบุว่าเรื่องที่ศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว ห้ามมิให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณา


นอกจากนี้ วัตถุประสงค์ของ พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560 นั้น บัญญัติไว้ชัดเจน ผู้ที่จะมีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินต้องเป็นประชาชนที่ถูกหน่วยงานรัฐกระทำละเมิด แต่กรณีโฮปเวลล์นั้น การรถไฟถูกละเมิดตรงไหนหรือ การรถไฟเป็นประชาชนหรือถึงจะไปยื่นคำร้องต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นตัวเองกระทำผิดที่ไปบอกเลิกสัญญาโฮปเวลล์โดยไม่ถูกต้องตามข้อกำหนดแนบท้ายสัญญาสัมปทานและเป็นกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว รัฐบาลและการรถไฟกลับไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษา
“การกระทำดังกล่าว น่าเชื่อว่ามีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ช่ำชองในกลเกมกฎหมายชักใยอยู่เบื้องหลัง เพื่อฟอกดำเป็นขาว ตบตาประชาชน ทั้งที่เป็นการกระทำขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากกระทรวงคมนาคมและ รฟท.เป็นหน่วยงานรัฐ ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อสำนักงานตรวจการแผ่นดินตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ แต่การรถไฟกลับใช้สิทธิยื่นเรื่องต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และมีการรับคำร้อง ก่อนอ้างเป็นมูลเหตุยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาในประเด็นที่อ้างว่า บริษัทยื่นข้อพิพาทหลังขาดอายุความ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง"
นายสัญญา กล่าวในที่สุดว่า ขบวนการล้มล้างคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้ว น่าจะต้องถูกประณามเป็นขบวนการเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบยุติธรรม และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ เพราะทุกคำพิพากษาของศาล เป็นการตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ เมื่อตัดสินชี้ขาดเป็นที่สุดและเด็ดขาดแล้ว ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติต้องปฏิบัติตาม ใครก็ตามที่ใช้เล่ห์เพทุบายเปลี่ยนแปลงล้มล้างคำพิพากษา จึงน่าสงสัยว่าเคารพพระปรมาภิไธยอยู่หรือไม่
"เมื่อคดีถึงที่สุดในชั้นศาลปกครองสูงสุดแล้ว กลับยังจะมีชั้นศาลสูง หรือในชั้นศาลฎีกาแล้วก็ยังจะมีการพลิกแพลงในชั้นศาลฎีกาขึ้นมาแทรกแซงได้อีก หากกรณีโฮปเวลล์ที่บริษัทไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่กลับถูกกระทำแบบนี้ อีกหน่อยคดีเขากระโดงของการรถไฟที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า เป็นที่ดินรถไฟก็คงจะมีความพยายามบิดเบือนเดินตามรอยคดีโฮปเวลล์ เพราะศาลปกครองสูงสุดตัดสินไปแล้วแต่รัฐบาลไม่ทำตามคำพิพากษา หน่วยงานระดับกรมอย่างกรม่ดินกลับมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาโต้แย้งคำพิพากษาปละยื้อคดีได้อีก"

ย้อนรอยโครงการโฮปเวลล์
โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับกรุงเทพมหานคร (Bangkok Elevated Road and Train System-BERTS) ระยะทาง 60.1 กม. เป็นโครงการที่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้สิทธิดำเนินการภายใต้สัมปทานการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มีอายุสัมปทาน 30 ปี ระหว่างวันที่ 6 ธ.ค. 2534 - 5 ธ.ค. 2562 มีมูลค่าการลงทุน 80,000 ล้านบาท โดยผู้รับสัมปทานต้องรับผิดชอบจัดหาเงินลงทุนเองทั้งหมด ควบคู่กับการจ่ายค่าตอบแทนสัมปทานแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย ตามสัญญาสัมปทานโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับกรุงเทพมหานคร (Bangkok Elevated Road and Train System - BERTS) ถูกการรถไฟแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย บอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2541 โดยอ้างเหตุผู้รับสัมปทาน ดำเนินโครงการล่าช้า ไม่เป็นไปตามสัญญา

27 พ.ย. 2547 บริษัทโฮปเวลล์ฯ ยื่นร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ด้วยเหตุถูกบอกเลิกสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม และคณะอนุญาโตตุลาการ ชี้ขาดให้การรถไฟแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม คืนเงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ที่บริษัท โฮปเวลล์ฯ ลงทุนไปแล้ว ให้แก่บริษัทโฮปเวลล์ฯ

การรถไฟแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม ร้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ แต่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาเป็นที่สุดเมื่อเดือน เม.ย.2562 สั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกระทรวงคมนาคม คืนเงินลงทุนและเงินค่าตอบแทนตามสัญญาฯ จำนวน 11,888 ล้านบาท และดอกเบี้ยให้แก่บริษัท โฮปเวลล์ฯ เนื่องจากสัญญาระหว่างกันได้ยุติลงแล้ว

