
EARTH ไม่ทน! ออกโรงแฉความเน่าเฟะของอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา ทำรายงานตบตากระทรวง ฟอกขาวให้โรงงานสุดฉาวในนิคมแปลงยาวช่วยกลบกากพิษอุตสาหกรรม ร่วม 30,000 ตัน ยันปิดจ็อบกำจัดกากพิษเรียบร้อยก่อนเรื่องแดงหลัง "เอกนัฏ" นำ จนท.ลงพื้นที่ตรวจสอบถึงผงะกากพิษถูกฝังกลบเกลื่อนพื้นที่ เตรียมเชือดกราวรูดอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา
ซากกากพิษใต้ดินกลางพื้นที่เกษตรกรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร? และซากกากพิษเหล่านั้นมาจากไหน?

นี่คือข้อสงสัยที่เกิดขึ้นทันทีสำหรับผู้ที่ได้เห็นภาพปฏิบัติการขุดซากกากอุตสาหกรรมที่ถูกลักลอบฝังไว้ใต้ที่ดินขนาด 11 ไร่ 3 งาน ของ “รุ่งกาญจน์ ล้อคำ” ซึ่งอยู่ในพื้นที่ ม.11 บ้านหนองสทิต ต.หัวสำโรง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวานนี้ (26 มิถุนายน 2568)
ตามข้อมูลเท่าที่มีในปัจจุบัน พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นประเด็นมาตั้งแต่กลางปี 2565 เนื่องจากเกิดเหตุเพลิงไหม้จนเปิดให้เห็นสิ่งปฏิกูลและซากกากอุตสาหกรรมเกลื่อนกระจายอยู่ในพื้นที่ และเมื่อย้อนดูภาพถ่ายทางอากาศจะพบความผิดปกติบนที่ดินผืนนี้มาตั้งแต่ช่วงปี 2556 แล้ว ก่อนที่จะเริ่มชัดเจนในปี 2561-2563 ว่ามีการใช้ที่ดินทำกิจการลักษณะเก็บกองข้าวของบางอย่าง รวมทั้งมีการขุด-ถมพื้นที่ด้วย

แต่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ความผิดปกติในเอกสารราชการ 2 ฉบับ ที่มีรายละเอียดจำนวนกากตอนที่สำรวจหลังเพลิงไหม้ปี 2565 แตกต่างกับตอนที่รายงานหลังส่งกำจัดในช่วงปี 2567 ถึงประมาณ 10 เท่า
กล่าวคือ ในขณะที่หนังสือ ‘ร้องทุกข์กล่าวโทษ’ หรือเอกสารประกอบการแจ้งความของเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ลงวันที่ 12 กันยายน 2565 ได้ระบุปริมาณกากคาดการณ์ว่ามีประมาณ 30,000 ตัน แต่หนังสือสรุปผลการกำจัดกากอุตสาหกรรมที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ส่งไปรายงานต่อปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2567 กลับระบุปริมาณของเสียรวมทั้งหมดที่เจ้าของพื้นที่ขนย้ายออกไปบำบัดกำจัดตามคำสั่ง ว่ามีเพียง 3,608 ตัน
เท่ากับว่า กากหายไปมากกว่า 26,000 ตัน

ยิ่งกว่านั้น ตามหนังสือที่ลงนามโดยอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรายังปรากฏข้อมูลที่ขัดแย้งกันเอง โดยรายงานเรื่องผลการตรวจสอบระบุว่า ของเสียทั้งหมดเข้าข่ายเป็น “วัตถุอันตรายตามกฎหมาย” แต่ของเสียที่ขนย้ายออกไปบำบัดกำจัดที่มีเพียง 3,608 ตัน นั้น ส่วนใหญ่กลับเป็น “ของเสียที่ไม่เป็นอันตราย” ของเสียปนเปื้อนหรือของเสียอันตรายที่มีการขนย้ายออกไปกำจัดบำบัดมีเพียง 98 ตันเท่านั้น
ในตอนท้ายของหนังสืออุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทราเมื่อปี 2567 ยังได้รายงานความสำเร็จในลักษณะ “ปิดจ็อบ” ภารกิจกำจัด “กาก” ในที่ดินของ “รุ่งกาญจน์ ล้อคำ” เอาไว้ด้วยว่า
“ทั้งนี้ สอจ. ฉะเชิงเทรา ได้ลงตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ไม่ปรากฏสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วในบริเวณพื้นที่แต่อย่างใด และจะติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดกับสถานีตำรวจภูธรแปลงยาวต่อไป”

ประเด็นอยู่ที่ว่า เมื่อรายงานว่า "ไม่ปรากฏสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วในบริเวณพื้นที่แต่อย่างใด" แล้วซากกากเหม็นฉุนที่ขุดพบในผืนดินผืนเดิมของ “รุ่งกาญจน์ ล้อคำ” ที่บ้านหนองสทิต ต.หัวสำโรง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวานนี้ มาจากไหน?
ช่วงหนึ่งระหว่างที่เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระหว่างลงพื้นที่ลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมแห่งนี้ เขาได้เปิดเผยเกี่ยวกับความผิดปกติเรื่องรายงานเอกสารราชการ 2 ฉบับที่มีตัวเลขกากไม่ตรงกัน ว่ามีผู้รายงานให้เขาทราบแล้ว เพราะถ้าหักลบตัวเลขระหว่างจำนวนกากที่ประเมินและกากที่รายงานส่งไปกำจัด มีส่วนต่างกันกว่า 20,000 ตัน ซึ่งเป็นข้อพิรุธ ดังนั้นเขาจะมอบให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมสอบสวนข้อเท็จจริง
“(กากอุตสาหกรรม) มันหายไปไหน อันนี้มันเป็นความพิรุธว่า อยู่ดีๆ หายไปเลย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ขยะมันเดินออกจากพื้นที่เองไม่ได้อยู่แล้ว”

รมว. อุตสาหกรรม กล่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ข้าราชการสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอีกหลายหน่วยงานที่ยืนเป็นสักขีพยานรวมเกือบ 50 คน ว่า การเกิดการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นนี้ นอกจากเจ้าของที่ดินที่ต้องรับผิดชอบแล้ว ข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ที่มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลกากกองนี้ ระหว่างช่วงที่เกิดเหตุต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย เพราะในปัจจุบันอุตสาหกรรมจังหวัดคนปัจจุบันเพิ่งย้ายเข้ามา ดังนั้นต้องให้ความเป็นธรรม
“สำหรับผม ความพิรุธเหล่านี้ที่เกิดขึ้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะเล็ดลอดสายตาเจ้าพนักงาน ข้าราชการมีอำนาจกำกับดูแล ความพิรุธว่าตอนมาสำรวจ (กากอันตราย) 30,000 พอ (เจ้าของที่ดิน) มาแจ้งว่าจัดการเรียบร้อย เหลือ 3,000 (เจ้าหน้าที่) ต้องมีความเอะใจ”
“ถ้ามองโลกในแง่ดี มาใหม่อาจจะไม่รู้ แต่สำหรับคนที่อยู่มาตั้งแต่ 2565-2567 ไม่ทราบได้อย่างไร และขยะปริมาณเป็นหมื่นๆ ตัน เยอะขนาดนี้มันลืมไม่ได้หรอกครับ มันน่าจะลืมไม่ลง”
Cr: เรื่องและภาพโดย นราธิป ทองถนอม มูลนิธิบูรณะนิเวศ
