
พรรคประชาชนได้โพสต์ FB ตั้งคำถามถึง กสทช. ว่า กสทช. มีไว้ทำไม สิ่งที่ควรทำกลับไม่ทำ หลัง 3 ปี ควบรวมทรู-ดีแทค โดยระบุว่า.. หลังจากบอร์ด กสทช. มีมติ “รับทราบ” ให้มีการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค เมื่อ 3 ปีก่อน ท่ามกลางเสียงสะท้อนความกังวลของทุกภาคส่วนในสังคมไทย จากการที่ตลาดค่ายมือถือในประเทศไทยเป็นตลาดที่ผูกขาดอยู่แล้วระหว่าง 3 ค่าย มาบัดนี้เหลือ 2 ค่าย จะเอาอะไรมามั่นใจได้ว่า จะยังคงมีการแข่งขันกันอยู่
อย่างไรก็ตาม บอร์ด กสทช. มิได้นำพาต่อเสียงคัดค้านกังวลของประชาชน และยังคงยืนยันให้ทั้งสองบริษัทสามารถควบรวมกิจการได้ แต่ก็แก้เกี้ยวเล็กน้อยด้วยการบอกว่า การควบรวมต้องเป็นไปตาม “เงื่อนไขเฉพาะเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค” โดยจะต้องมีมาตรการกำกับดูแลราคา คุณภาพ และการให้บริการ กล่าวคือ
๐ กำหนดเพดานราคาค่าบริการเฉลี่ยต้องลดลงอย่างน้อย 12%
๐ บริษัทที่ควบรวมต้องคงเงื่อนไขและผลประโยชน์ของผู้ใช้บริการเดิม
๐ กำหนดให้ทั้งสองแบรนด์ยังคงแยกกันเป็นเวลา 3 ปี เพื่อรักษาสภาพการแข่งขันในระดับแบรนด์
๐ จัดให้มีหน่วยธุรกิจเพื่อให้บริการโครงข่ายแก่ MVNO (กิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนโครงข่ายเสมือน) เพื่อส่งเสริมการแข่งขันของผู้เล่นรายย่อย
๐ ให้มีการติดตามตรวจสอบคุณภาพบริการและเป้าหมายการลงทุนโครงข่าย 5G

เงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้แม้ดูจะเป็นการดี แต่เมื่อสำรวจสภาพความเป็นจริงในทางปฏิบัติ เรากลับพบว่า ผ่านไป 3 ปีหลังการควบรวมทรู-ดีแทค กสทช. ยังไม่ได้ดำเนินการตามมาตรการเหล่านี้อย่างจริงจังแม้แต่ข้อเดียว ทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจากการควบรวม คือ
๐ ประชาชนพบว่าค่าบริการแพงขึ้น
๐ มีรายงานยกเลิกโปรโมชันเก่าหรือบังคับเปลี่ยนแพ็กเกจใหม่
๐ การแยกแบรนด์แทบจะไม่มีผลต่อการแข่งขันที่แท้จริง
๐ เงื่อนไขส่งเสริม MVNO ยังคงไม่มีความชัดเจนในการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม
๐ ไม่มีการตรวจสอบโครงข่ายและการลงทุน 5G ประชาชนยังเจอปัญหาเน็ตล่มและสัญญาณคุณภาพแย่
3 ปีผ่านไป นอกจากเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในการควบรวมไม่ได้ถูกปฏิบัติจริง หรือส่งผลต่อการแข่งขันจริงแล้ว ในการประชุมบอร์ด กสทช. เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา ยังมีวาระที่กลุ่มทรู-ดีแทคขอลดเงื่อนไขมาตรการดังกล่าวลงอีก
แม้ท้ายที่สุด ที่ประชุมวันนั้นยังไม่ได้พิจารณาวาระดังกล่าว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังสะท้อนว่า หากที่ผ่านมาเงื่อนไขต่างๆ ได้รับการปฏิบัติอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด คำร้องขอในการลดเงื่อนไขลงก็อาจพอเข้าใจได้ แต่ในเมื่อความเป็นจริงไม่มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ กสทช. กำหนดเอาไว้เลย การมาขอลดเงื่อนไขเหล่านี้ลงอีก ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล
ที่ผ่านมา กรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาติดตามกรณีดังกล่าวเป็นการเฉพาะ และเชิญผู้แทน กสทช. มาชี้แจงหลายครั้ง สิ่งที่พบคือ เงื่อนไขเฉพาะทุกข้อที่กำหนดไว้ ขาดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และมีความล่าช้ากว่าที่กำหนด เช่น
๐ เงื่อนไขราคาต้องลดลง 12% กสทช. ยังตกลงไม่ได้เลยว่าเกณฑ์ถ่วงน้ำหนักจะเป็นอย่างไร
๐ การตรวจสอบคุณภาพที่ระบุว่าต้องไม่แย่ลง กสทช. ไม่ได้ตรวจแบบเปรียบเทียบก่อนกับหลังควบรวม แต่ตรวจแบบผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ
๐ การจ้างที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบต้นทุนเอกชน ตกลงรายละเอียดกันภายใน กสทช. ได้ช้า และเมื่อออกเกณฑ์มาเอกชนก็ยังไม่ปฏิบัติตาม ทั้งที่กรณีนี้มีผลต่อการคิด Average Cost Pricing ซึ่งจะมีผลต่อการกำกับราคาและการส่งเสริมตลาด

มาวันนี้ กสทช. กลับมีแนวโน้มที่จะปรับปรุงเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะลงเสียอีก ทั้งที่สิ่งที่ กสทช. ควรทำคือการกลับไปดูมาตรการรายข้อว่าเอกชนทำจริงแค่ไหน ให้ผู้เชี่ยวชาญ ตัวแทนประชาชน และผู้บริโภคร่วมตรวจสอบ คาดโทษเอกชนอย่างจริงจังหากไม่สามารถปฏิบัติตามได้ และหากทำไม่ได้จริงก็ควรลงโทษ หรือกระทั่งพิจารณาทางเลือกเช่นในต่างประเทศ ที่ให้มีการแยกธุรกิจออกจากกัน
ตลาดค่ายโทรศัพท์มือถือของไทยทุกวันนี้เป็นตลาดที่ผู้บริโภคมีอำนาจต่อรองน้อยอยู่แล้ว อีกทั้งค่าใช้จ่ายด้านการสื่อสารและอินเตอร์เน็ตเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็น เป็นภาระค่าครองชีพที่ทุกคนต้องแบกรับในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลทุกวันนี้
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้คือต้นทุนของผู้ประกอบการ ต้นทุนในการทำมาหากินของประชาชนคนหาเช้ากินค่ำ การแสวงหาความรู้และข้อมูลที่จะเป็นต้นทุนในชีวิตหลายด้าน ดังนั้นหากไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจังในการกำกับควบคุม ย่อมกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทยเป็นอย่างมาก
ที่ผ่านมา กสทช. นอกจากจะไม่ปกป้องผู้บริโภคอย่างที่ควรเป็น ยังละเลยเพิกเฉยหน้าที่ของตัวเองโดยตรง เปิดทางให้ควบรวม ออกมาตรการเงื่อนไขมาแก้เกี้ยว พอถึงเวลาก็ปล่อยปละไม่ดูแล จะทำไม่ทำก็ช่าง มาวันนี้ยังจะอนุญาตให้ลดเงื่อนไขลงอีกอย่างนั้นหรือ?
แบบนี้ประเทศไทยจะมี กสทช. ไว้ทำไม?
