
บอร์ด AOT ไฟเขียวเจรจาแก้สัญญา "ดิวตี้ฟรี" ยกกระบิ ไม่ใช่แค่ 3 สนามบินภูมิภาค แต่ครอบคลุมทั้ง "สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง" อ้างผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจ-โควิดยังไม่คลี่คลาย แถมเจอสถานการณ์สงครามและเศรษฐกิจโลกทำปริมาณผู้โดยสารลดวูบ กระทบรายได้ประกอบการ ขณะมาตรการเยียวยาจากภาครัฐยังไม่ตอบโจทย์
…
จากกรณีที่มีกระแสข่าวสะพัดว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ได้ทำหนังสือถึง บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) หรือ AOT ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขอหารือแนวทางยกเลิกสัญญาร้านสินค้าปลอดอากร (Duty Free) ใน 3 ท่าอากาศยานในภูมิภาค ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ซึ่งบริษัทได้รับสัญญาประกอบกิจการด้วยข้ออ้าง ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและผลพวงจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย อีกทั้งมีเหตุสงครามในหลายภูมิภาค สงครามการค้า และการกีดกันทางการค้า กำแพงภาษี การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผล ทำให้ยอดขายบริษัทลดลง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา นางสาว ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ พร้อมฝ่ายบริหาร AOT ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเรื่องดังกล่าว ภายหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) AOT โดยยอมรับว่า เมื่อช่วงต้นมิถุนายน AOT ได้รับหนังสือที่ส่งมาจากบริษัท คิงเพาเวอร์ เพื่อขอเจรจาปรับสัญญาร้านสินค้าปลอดอากร (Duty Free) จำนวน 3 สัญญา ได้แก่ สัญญาประกอบกิจการ Duty free ในพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, สัญญาท่าอากาศยานดอนเมือง และสัญญาประกอบการ Duty Free ในสนามบินภูมิภาค (ภูเก็ต หาดใหญ่ และเชียงใหม่) ซึ่งรายละเอียดในสัญญาส่วนใหญ่คล้ายกันในทุกสัญญา แต่ยืนยันว่า ไม่ได้มีการระบุถึงการขอยกเลิกสัญญาตามกระแสข่าวลือก่อนหน้านี้

โดยเนื้อหลักในหนังสือที่บริษัท คิงเพาเวอร์ฯ มีมายัง AOT มีการชี้แจงถึงเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งบริษัทอ้างว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากสัญญาเดิมที่ทำไว้กับ AOT ตั้งแต่ในช่วงก่อนที่มีโควิดระบาด ด้วยข้อมูลที่มีสถานการณ์บริบทเศรษฐกิจและธุรกิจอยู่ในภาวะปกติ แต่หลังการระบาดโควิด-19 ส่งผลให้สถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงที่มีการทำสัญญา เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญแรก ส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมา AOT มีการดำเนินการแก้สัญญา Duty Free กับคิงเพาเวอร์ฯ ไปจำนวนหลายครั้งเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์
#อ้างสัญญา Duty Free ไม่เป็นธรรม
รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า รายละเอียดในหนังสือของคิงเพาเวอร์ ได้ระบุถึง 7 ประเด็นสำคัญที่กระทบต่อธุรกิจ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบด้วย
1. การยุติการดำเนินการร้านค้าปลอดภาษีขาเข้า ตามนโยบายภาครัฐ ทำให้สูญเสียโอกาสการสร้างรายได้
2. การลดภาษีสินค้าประเภทแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้ยอดขายสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
3. การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการภายในอาคารผู้โดยสารของ ทอท. เพื่อปรับปรุงบริการผู้โดยสาร
4. มาตรการเชิงรุกของรัฐที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง
5. สถานการณ์ภายในประเทศไทยที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาลดลง
6. การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้จำนวนผู้โดยสารเป็นศูนย์ในช่วงที่ผ่านมา
7. สถานการณ์สงครามและความชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการเดินทางระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ คิงเพาเวอร์ ชี้ว่า ที่ผ่านมา ทอท. วิเคราะห์สถานการณ์เหล่านี้ในมุมมองของตนเองฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และต้องการให้ ทอท. วิเคราะห์และเจรจาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในระยะยาว ซึ่งเรื่องนี้ ทอท. ได้รับไว้พิจารณา และนัดหารือกับคิงเพาเวอร์ในวันนี้ (17 มิ.ย.)
นางสาวปวีณา กล่าวด้วยว่า ทอท. ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง และได้นำเสนอแนวทางต่อคณะกรรมการ ทอท. ซึ่งได้รับความเห็นชอบแล้ว โดยยืนยันว่า ทอท. จะไม่ยกเลิกสัญญาโดยง่าย ต้องหารือแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันก่อน ซึ่งจะยึดเป้าหมาย ทอท. ต้องไม่เสียประโยชน์
ดังนั้น คณะกรรมการ ทอท. จึงมีมติตั้งคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองทางเลือกในการแก้ไขปัญหา และจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเพื่อศึกษาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาให้รอบด้าน ซึ่งคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้จะคัดเลือกจ้างที่ปรึกษาแล้วเสร็จ
สำหรับแนวทางการศึกษา จะครอบคลุมประเด็นด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การเงิน และการบริหารธุรกิจ เพื่อวิเคราะห์ข้อจำกัดของสัญญาเดิม รวมถึงเสนอแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 60 วัน ก่อนเสนอต่อคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป เบื้องต้นจึงคาดว่าภายใน ส.ค.นี้
#คิงเพาเวอร์ อ้างจ่ายค่าต๋งไม่เป็นธรรม
ประเด็นการแก้ไขสัญญาที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและไวรัสโควิดนั้น ที่ผ่านมา มีการแก้ไขสัญญาไปแล้ว 4 ครั้ง โดยการแก้สัญญาในแต่ละครั้งกระทบกับเงื่อนไขเดิมในสัญญาที่กำหนดจ่ายผลตอบแทนให้กับ AOT ในรูปแบบของส่วนแบ่งรายได้แบบ Minimum Guarantee เปลี่ยนมาเป็นการจ่ายตามจำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการ (Sharing per Head) ซึ่งก็เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด -19 จนทำให้มีการประกาศปิดน่านฟ้า เป็นเหตุให้ผู้โดยสารเดินทางไม่ได้ ซึ่ง AOT ได้ออกมาตรการช่วยเหลือในทุกสัญญาธุรกิจกับคู่ค้าทั้งหมดทุกราย ไม่ใช่เฉพาะคิงเพาเวอร์ฯ

อย่างไรก็ดี เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายลงแล้ว AOT ได้ยกเลิกมาตรการช่วยเหลือคู่ค้าทั้งหมด โดย AOT ในฐานะผู้ประกอบการในเชิงพาณิชย์ก็ต้องดำเนินนโยบายในการดำเนินธุรกิจต่อไปปกติ หากคู่สัญญาไม่พอใจกับสัญญาเดิม ก็คงต้องมาหารือกันในบริบทต่างๆ ซึ่งในหนังสือของคิงเพาเวอร์ได้ชี้แจงถึงสถานการณ์ต่างๆ เช่น โควิด, การที่ AOT ขอคืนพื้นที่บางส่วนจากบริษัท ซึ่งเป็นพื้นที่ "ไพรม์" หรือขายสินค้าดีเพื่อนำไปพัฒนาพื้นที่รองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลที่ให้ยกเลิก Duty Free ขาเข้าประเทศ
รวมทั้งปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลกที่ไม่ดี ทำให้นักท่องเที่ยวชะลอตัว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกำลังซื้อหลักที่ชะลอตัว ซึ่งปัจจัยหลายส่วนข้างต้นเหล่านี้วนส่งผลกระทบต่อยอดขายและสถานะของบริษัท ทำให้คิงเพาเวอร์มองว่าสัญญาเดิมไม่เป็นธรรม เพราะบริษัทต้องจ่ายผลตอบแทนรายปีสูงกว่าวงเงินประกันรายได้ขั้นต่ำ บริษัทจึงมีหนังสือขอเจรจาในเรื่องสัญญากับ AOT โดยในหนังสือที่คิงเพาเวอร์ส่งมายัง AOT นั้น ต้องการขอให้ AOT ตอบกลับไปยังบริษัทให้ชัดเจนภายใน 45 วัน หลัง AOT ได้รับหนังสือ อีกทั้งในระหว่างการรอความชัดเจนจาก AOT ทางบริษัท จะขอปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนจากสัญญาปัจจุบันที่บริษัทต้องจ่ายในรูปแบบ Minimum Guarantee ในสัดส่วน 33-34% ของรายได้ไปเป็นรูปแบบ Sharing per Head ซึ่งจะมีสัดส่วนลดลงเหลือประมาณ 20% หรือกลับไปใช้สัญญาในช่วงโควิดแพร่ระบาด
#แบไต๋ตั้งที่ปรึกษาหาทางออกสัญญา Duty Free
รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวด้วยว่า ทอท. ยืนยันว่า การพิจารณาทุกทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นการปรับแก้สัญญาหรือการยกเลิก จะต้องอยู่ภายใต้ผลประโยชน์ของ ทอท. และผู้ถือหุ้น รวมถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ทอท. ขอยืนยันว่า บริษัทฯ ยังมีสถานะทางการเงินมั่นคงแข็งแรง และยืนยันว่าส่วนแบ่งรายได้จากคิงเพาเวอร์ คิดเป็นเพียง 17% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งปี 2567 ทอท. มีรายได้รวม 6.3 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น รายได้จากคิงเพาเวอร์อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนค่าตอบแทนที่คิงเพาเวอร์ยังค้างชำระได้ครบกำหนดทยอยจ่ายคืนมาแล้วบางส่วน และพบว่ายังไม่เกินวงเงินค้ำประกัน (Bank Guarantee) ที่วางไว้เป็นหลักประกันตามหลักเกณฑ์ในสัญญา
ขณะเดียวกัน ช่วงการเจรจาหาแนวทางแก้ไขปัญหา ทอท. ยืนยันว่า คิงเพาเวอร์ต้องจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนตามสัญญากำหนดเช่นเดิม ซึ่งปัจจุบันคิงเพาเวอร์ในรูปแบบค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี ซึ่งมีอัตราการจ่ายสูงกว่ารูปแบบ จ่ายส่วนแบ่งรายได้ที่กำหนดในสัญญา 20% ของยอดขาย ดังนั้น ยืนยันว่า ทอท. จะไม่เสียประโยชน์

หมายเหตุ: อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-เนตรทิพย์: Hot Issue
สิ้นสงสัย! เหตุคิงเพาเวอร์จ่อเลิกสัญญา Duty Free 3 สนามบิน
https://www.natethip.com/news.php?id=10254

-เนตรทิพย์: Hot Issue
ทอท. แบไต๋เจรจา "คิงเพาเวอร์" หวั่นชวดค่าต๋ง "ดิวตี้ฟรี" หมื่นล้าน!
https://www.natethip.com/news.php?id=10257
