
มีคำถามมากมายว่า การปะทะสู้รบตามแนวชายแดนเวลานี้จะจบลงเมื่อใด?
ประชาชนคนไทย 7 จังหวัด เรือนหมื่นหรือนับแสนที่ต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่?
ขอตอบแบบ "กำปั้นทุบดิน" อย่างนี้ก็แล้วกัน...
การปะทะ-สู้รบที่เกิดขึ้นเวลานี้เป็นเพียงแค่ "เริ่มต้น" เท่านั้น
"สงครามที่แท้จริง" ยังไม่เกิดขึ้นเลย!
การสู้รบที่ต่างฝ่ายต่างสาดกระสุน ถล่มปืนใหญ่กันไปมาเวลานี้ (รวมทั้งที่ไทยเราเอาเครื่องบินไปหย่อนไข่ลงจุดยุทธศาสตร์ฝั่งโน้น)
มันยังไม่ได้เข้าใกล้คำว่า "สงครามที่แท้จริง" แม้แต่น้อย!

ไอ้ที่ป่าวประกาศ (กรอกหูผู้คน) ไทยเราจะไม่หยุดจนกว่าเขมรจะ "สิ้นสภาพทางการรบ" ไม่กลับมาเป็นภัยคุกคามไทยเราได้อีก
หรือจนกว่าเขมรจะยกธงยอมแพ้ ยื่นข้อเสนอข้อปฏิบัติขอสงบศึก หรือจนกว่าเราจะยึดคืนผืนแผ่นดินที่เป็นของเราคืนมาทุกตารางนิ้ว กลับมา
ทุกอย่างถึงจะยุตินั้น ......"มันไม่มีอยู่จริงในโลก"!
แม้เราจะสามารถยึดปราสาทตาควาย เนิน 677 เนิน 350 พื้นที่บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว หรือจะบ้าน 3 หลังอะไรนั่นได้แล้ว
แต่....เสียงปืนฝั่งโน้นสงบลงไปไหม ฝั่งกัมพูชายอมรามือหรือไม่?
ไม่เลย! กลับระดมสรรพกำลังรุกรบหนักขึ้นไปอีก ทำให้การสู้รบนอกจากจะไม่ยุติลงยังส่อยืดเยื้อ-ทวีความรุนแรงหนักขึ้นไปอีก!
เราเริ่มเห็นการระดมสรรพกำลัง อาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ อย่างปืนหลายลำกล้อง BM-21 จรวดต่อต้านรถถัง หรือขีปนาวุธ PHL03 เริ่มเห็นการเรียกกำลังพลสำรอง เกณฑ์ทหารใหม่เข้าประจำการและเคลื่อนทัพเข้าสู่สมรภูมิรบอย่างต่อเนื่อง

มีการจ้างนักรบต่างชาติ ผู้เชี่ยวชาญในการบังคับโดรนเข้าพื้นที่เข้าสมรภูมิสู้รบ ส่งสัญญาณ "สงครามที่แท้จริง" กำลังเริ่มต้นเท่านั้น!
ดับฝันความคาดหวังของใครต่อใครที่เคยดาหน้าออกมาเชียร์ปฏิบัติการ "เอาคืน" สั่งสอนเขมรแบบ "ม้วนเดียวจบ" หรือ "ให้จบที่รุ่นเรา" ทำให้คำปลอบประโลมเหล่านั้น กลายเป็นคำปลอบประโลม "ลวงโลก"
เป็นแค่คำ "โกหก-หลอกลวง" โดยที่ "ผู้พูด" ไม่ได้รู้สึกรู้สาหรือรู้ "สำเหนียก" ในสิ่งที่ตนเองได้พูดออกไปแม้แต่น้อย
ด้วยสภาพการสู้รบที่อาศัยเพียงการสาดซัดกันด้วยอาวุธกันไปมา และจำกัดอยู่แค่พื้นที่สู้รบตามแนวชายแดนแบบนี้ จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องยอมแพ้อย่าง "ศิโรราบ" ได้หรือ?
เมื่อทหารไทยเรายึดพื้นที่ยุทธศาสตร์ ยึดผืนแผ่นดินที่เรายืนกรานว่า.. นั่นคือผืนแผ่นดินของเรากลับมาได้แล้ว ทุกอย่างมันจะจบลงได้ เสียงปืนจะสงบลงได้แน่หรือ?

พวกท่านยังหวังกันอีกหรือว่า "เอาให้จบรบให้เบ็ดเสร็จ" ที่ว่า จะทำให้ในระยะ 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน 3 เดือนจากนี้เราจะได้กลับบ้านกัน กลับไปทำมาหากินอย่างเดิมได้อีก....
"มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว"
ในเมื่อพื้นที่เหล่านี้ (7 จังหวัดชายแดน) มันคือ "สมรภูมิรบ" อยู่ในพื้นที่สู้รบ เป็นเขตประกาศกฎอัยการศึกที่ไม่มีใครบอกได้ว่า มันจะไปจบที่ไหน-เมื่อไหร่ จะ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปีจากนี้
มีใครบอกได้หรือว่ามันจะจบ!
มันอาจทอดยาวออกไปเป็น 3 ปี 5 ปี หรือนับทศวรรษ (10 ปี) หรืออาจ "เจริญรอยตาม" สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อมากว่า 4 ปีแล้ว หรือเลวร้ายที่สุดก็อาจยืดเยื้อกันไปเป็น 50-60 ปี แบบสงครามระหว่างอาหรับและอิสราเอลนั่น
หากสงครามที่เกิดขึ้นยังคงยืดเยื้อ และขยายวงออกไป แน่นอนว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่แค่ "ทหารกล้า" ไม่กี่รายที่ต้องบาดเจ็บล้มตาย แต่ประเทศชาติและประชาชนคนไทยโดยเฉพาะ ประชาชนคนไทยต่างหากคือผู้จะได้รับผลกระทบมากที่สุด!
และหาได้จำกัดแอยู่แต่เฉพาะประชาชนตามแนวชายแดน แต่หมายรวมถึงประชาชนคนไทยทั้งประเทศ แม้แต่ใจกลางเมืองหลวงนี้ด้วย ถึงเวลานั้นจริงๆ พวกเราก็ไม่อาจจะหลีกหนี "ความเสี่ยง" จากภัยสงครามที่จะลามเข้ามาสู่เมืองหลวงด้วยอย่างแน่นอน!

แน่นอน! ฝ่ายทหารและฝ่ายความมั่นคงในแนวหน้าที่เราต่างยกย่องในความเสียสละเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาตินั้น ไม่ว่าการสู้รบครั้งนี้จะยืดเยื้อออกไปนานแค่ไหน เขาเหล่านั้นจะเดือดร้อนอะไรหรือ
ในเมื่อเขาเหล่านั้นยังคงได้รับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง ค่าเสี่ยงภัย และค่าอะไรต่อมิอะไรครบทุกบาททุกสตางค์ (ตายไปก็ยังได้รับการปูนบำเหน็จได้เหรียญกล้าหาญได้รับเงินพิเศษอะไรต่อมิอะไรอีก)
แต่กับประชาชนคนไทยตามแนวชายแดน ใน 7 จังหวัดพื้นที่สู้รบ-เสี่ยงภัยที่ต้องอพยพออกไปยังศูนย์พักพิงเรือนหมื่น เรือนแสนคนหรือนับล้านคนเหล่านั้น
คนเหล่านี้จะทำมาหากินอะไรกันได้บ้าง นอกจากการนั่งปรับทุกข์รอคอยความหวังที่จะได้กลับถิ่นฐานมาตุภูมิอย่าง "สิ้นหวัง-เลื่อนลอย"
จากนี้ไปทรัพย์สินที่เคยใช้ทำมาหากิน บ้านช่องห้องหอ เรือกสวนไร่นาที่สู้อุตส่าห์หามาทั้งชีวิต ก็มีแต่จะ "นับถอยหลัง" ที่จะถูกริบ ถูกยึดเมื่อผู้คนเหล่านี้ไม่ได้กลับไปทำมาหากิน ไม่ได้ส่งค่างวดรถ-บ้าน ไม่ได้ทำมาค้าขายแล้ว จะเอาเงินเอารายได้ที่ไหนมาจ่ายคืนหนี้สิน!
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมันจะ "หยั่งราก" ลงไปจนถึงขีดสุดถึงจุด "สิ้นไร้ไม่ตอก" ที่แทบจะอยู่ในภาวะอดอยากปากแห้งแบบที่เราเคยเห็นจากภาพข่าวของชาวเขมรในอดีตนั่นแหล่ะ
เพราะนั่นคือ... "วิถีของสงคราม" ที่คนไทยเรายังไม่เคยลิ้มรส ไม่เคยสัมผัสกันมานับศตวรรษนั่นเอง

สงครามที่เราเคยเผชิญในอดีต มันเป็นเพียงแค่ "สงครามกลางเมือง" เข่นฆ่ารบรากันเองแบบ "นักเลงหัวไม้" ไม่ว่าจะเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 35 หรือเหตุ "ล้อมปราบเสื้อแดง" ปี 2553 ที่เกิดจากการยุยง ปั่นหัวของผู้นำทางการเมือง จนลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันเอง
แต่เหตุการณ์เหล่านั้นก็ยุติลงภายในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยพระบารมีของ "ในหลวงของเรา" ที่ทรงลงมาเตือนสติ เรียกผู้นำทั้งสองฝ่ายหรือทุกฝ่ายเข้ามาทำความเข้าใจกัน ทุกอย่างจึงจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว
แต่สำหรับสงครามการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ที่กำลังระอุแดดอยู่เวลานี้ มันต่างจากสงครามกลางเมืองในอดีตโดยสิ้นเชิง!
เมื่อฝ่ายหนึ่งต้องสูญเสียกำลังพล กำลังรบ ถูดยึดพื้นที่ มันเป็นไปไม่ได้ที่เมื่อถูกอริราชศัตรูยึดครองพื้นที่ได้แล้ว อีกฝ่ายจะ "ยกธงยอมแพ้" จบแล้วเลิกรากันไป
มันมีแต่จะระดมพลระดมสรรพกำลัง "เอาคืนให้สาสม" เท่านั้น!

ยิ่งกับประเทศกัมพูชาด้วยแล้ว คนเขมรเหล่านี้เกิดมากับสงคราม การสู้รบและการ "ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ" อยู่แล้ว การถูกทางการเรียกระดมพล กะเกณฑ์ไพร่พล เรียกกำลังสำรองหรือแม้แต่บังคับเอาเด็กเยาวชน อายุแค่ 14-15 ปีไปถือปืนสู้รบในแนวหน้า
สิ่งเหล่านี้มันคือ "วิถีของสงคราม" ที่ต้องเป็นไปและเป็นสิ่งที่คนเขมรเองเคยเผชิญมาแล้วในอดีต!
ดังนั้น ไอ้ที่อดีต "นายพลสติเฟื่อง" บ้าสงคราม หรือ "กูรูกำมะลอ" บางคนออกมาวิเคราะห์เป็นตุเป็นตะ เราต้องถล่มเขมรให้สิ้นซาก สิ้นสภาพการรบ แบบ "ม้วนเดียวจบ" เอาให้มันจบเผยอไม่ได้
วันนี้คงเห็นแล้วว่าคนเหล่านั้น คือ "กูรูกำมะลอ" โดยแท้ รู้จริงในสมรภูมิรบแค่ไหน ?
ไอ้ที่ออกมา "เสนอหน้า" รัฐบาลไทยต้องปิดอ่าวไทย ห้ามเรือบรรทุกน้ำมันเข้า-ออก ห้ามรถบรรทุกน้ำมันเข้า-ออก หยุดส่งน้ำมันให้เขมรหรือประเทศเพื่อนบ้านอื่น รับรองไม่เกิน 2 อาทิตย์ ฮุนเซ็นต้องตายแน่ อยู่ไม่ได้แน่อะไรนั้น

เรายังจะฟังข้อแนะนำเลอะเทอะไร้สติแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรแบบนี้กันอยู่อีกหรือ?
เรายังคิดว่าจะทำแบบ "ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์" ที่ประกาศควบคุมเรือบรรทุกน้ำมันในน่านน้ำเวเนซูเอล่า ประกาศให้ทุกประเทศต้อง "บอยคอต" รัฐบาลเวเนฯ ที่เป็นภัยคุกคามโลก
ด้วยภาวะสงครามที่เกิดขึ้น ที่สรรพกำลังทุกอย่างต้องถูกระดมมาใช้ทางการทหารทั้งหมด ประชาชนพลเรือนกัมพูชามีสิทธิ์ใช้น้ำในประเทศกันได้หรือ?
พวกท่านไม่รู้จักอำนาจอันเบ็ดเสร็จยามศึกสงครามกันเลยหรือ?
กัมพูชานั้นไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว ชาติต่างๆ ที่เข้าไปลงทุนในประเทศนี้ไม่ได้มีแต่ไทยเรา ยังมีนักลงทุนจากสหรัฐ สหภาพยุโรป จีน ญี่ปุ่น มาเลย์ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และอื่นๆ อีกทั่วโลก
นั่นหมายถึงว่า…เขายังคงสามารถจะพึ่งพาความช่วยเหลือจากมหามิตรเหล่านั้นได้ทั้งหมด โดยเฉพาะจากสหรัฐ จีน และญี่ปุ่น การขอความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งด้านความมั่นคง เพื่อแลกกับทรัพยากรบางประการที่ต่างประเทศหมายมั่นปั้นมือนั้นมีหรือที่ผู้นำประเทศนี้จะไม่กล้าทำ
เป็นสิ่งที่ไทยเราห้ามได้หรือ ?
แค่จะอรรถาธิบายต่อประชาคมโลก เพื่อไม่ให้ไปเข้าข้างเขมร ทำให้โลกที่เคย "ยืนเคียงข้างไทย" ไม่หันไปเข้าข้างเขมร จนหันมา "ล้อมไทย" เราเอง เรายังพูดได้ไม่เต็มปาก
หรือแค่จะหว่านล้อมให้ "ปธน.ทรัมป์" ไม่งัดเอามาตรการทางภาษีที่ขู่จะเล่นงาน ทั้งไทย-กัมพูชา หากยังคง "ดื้อดึง" ทำสงครามต่อกัน เรายังทำไม่ได้เลย
ดังนั้น หนทางที่จะยุดยั้งสงครามและการสู้รบ ลดความบาดหมางระหว่างกันลง ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้นคือ การหันกลับมาเจรจา รื้อฟื้นข้อตกลงระหว่างกันเท่านั้น โดยต้องลดทิฐิและเลิกคิดเสียทีว่าเราจะเอาชนะกัมพูชาได้ด้วยกำลังรบที่เหนือกว่า
หรือคิดแต่ว่า เขมรเชื่อถือไม่ได้ ฮุนเซ็นไปยังไงมันก็แว้งกัด!

เพราะตราบใดที่เรายังคงมีความคิดเช่นนี้อยู่ การเจรจาสงบศึกเลือดที่ว่า มันก็คงเป็นแค่มหกรรมปาหี่ หรือแค่ "หน้าฉาก" ลวงโลกเท่านั้น!
สุดท้ายหากถึงเวลาที่ต้องเดินเข้าสู่สมรภูมิจริงขึ้นมา จนยังความสูญเสียสุดจะหยั่งลึกแล้ว
ถึงเวลานั้นเราจะไปโทษใครได้ นอกจากทิฐิและความเขลาของเราเอง!!!