
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจหมอม็อด หมอเด็กขอเล่า โพสต์ “กรณีดราม่า "บัตรทอง/สปสช.” เรื่องใหญ่ที่คนไทยยังไม่รู้ตัว” มีสาระสำคัญระบุว่า..
ตอนนี้…โรงพยาบาลทั่วประเทศกำลังขาดทุน หมอ–พยาบาลใน รพ.รัฐ ทำงานหนักแต่ไม่ได้รับเงินและที่น่ากังวลที่สุด ประชาชนกำลังจะไม่มีที่รักษา
ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นจากหน่วยงาน ที่ชื่อว่า.. "สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ)" หรือที่คนคุ้นกันในชื่อ "ระบบบัตรทอง"
วันนี้จะพาอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบฉบับที่คนไม่มีพื้นฐานก็เข้าใจได้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของหมอ
แต่คือ เรื่องของคนไทยเกือบทั้งประเทศ ที่พึ่งพาระบบนี้อยู่ทุกวัน
บัตรทองคืออะไร? สปสช.คือใคร? ปัญหาหลักของระบบตอนนี้ แล้วโรงพยาบาลได้เงินจาก สปสช. ยังไง? ยังไม่จบ… “กฎ 3%” ที่เอาเปรียบสุดๆ
โรงพยาบาลรัฐ “ขาดทุน-ติดลบ” หนักขึ้นทุกไตรมาส
หมอ-พยาบาล ทำงานแล้วไม่ได้เงิน แล้วประชาชนล่ะ? ได้รับผลกระทบไหม?
ตัวอย่างชัดๆ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โดนเล่นงานจาก “การเปลี่ยนกติกาย้อนหลัง”..
คำพูดสวยหรูของ สปสช. = ฉากบังหน้า

บัตรทองคืออะไร? สปสช.คือใคร?
1. บัตรทอง คือสิทธิรักษาฟรีสำหรับคนไทยประมาณ 48 ล้านคน หรือ >70% ของประชากรทั้งประเทศ (คนที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ และไม่ได้อยู่ในประกันสังคม)
2. เงินทั้งหมดที่ใช้ดูแลระบบบัตรทองนี้ มาจากภาษีของประชาชนรวมแล้วมากกว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี
เงินก้อนนี้… ไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลโดยตรง แต่ส่งไปให้ "สปสช." เป็นคนถือเงินไว้ และเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะจ่ายให้โรงพยาบาลเท่าไรและเมื่อไหร่
3. สรุปง่ายๆ คือ..
โรงพยาบาล = คนทำงานจริง รักษาคนไข้จริง ใช้ของจริงๆ
สปสช. = คนถือกระเป๋าเงินใบใหญ่ ค่อยทยอยจ่ายให้ทีหลัง
จะเร็ว จะช้า จะให้ครบหรือไม่ก็แล้วแต่เขา และปัญหาทั้งหมด… ก็กำลังเริ่มต้นจากตรงนี้
ส่องปัญหาหลักของระบบตอนนี้!
4. โรงพยาบาลทุกแห่งในระบบบัตรทองต้องทำหน้าที่ออกเงิน “รักษาคนไข้ไปก่อน” ทั้งค่ายา ค่าหัตถการ เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์การแพทย์ทุกอย่าง แล้วค่อยไป “เบิกเงินคืนทีหลัง” จาก สปสช.
แต่สิ่งที่โรงพยาบาลเจอซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือ..ได้เงินช้า ได้ไม่ครบ บางครั้งโดนเปลี่ยนกฎกติกากลางทาง แล้วโดนเรียกเงินคืน
5. ลองนึกภาพตามง่ายๆ
มีเพื่อนมาบอกคุณว่า “ช่วยไปซื้อข้าวกล่องให้หน่อย เดี๋ยวกลับมาเราจ่ายให้”
คุณก็ใจดีควักเงินซื้อให้ราคา 80 บาท พอคุณเอาข้าวให้เพื่อน
เพื่อนบอกว่า “เอ้อ… ไว้ค่อยจ่ายวันหลังนะ”
ผ่านไปหลายเดือน… เพื่อนคนนั้นกลับมาบอกว่า “เอ่อ… ตอนนั้นที่ให้ไปซื้ออะ ขอจ่ายให้แค่ 20 บาทนะ”
คุณขาดทุนไป 60 บาททันที
ตอนนี้… โรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศ กำลังเจอสถานการณ์แบบนี้
แต่ไม่ใช่เรื่องข้าวกล่อง… มันคือชีวิตของคนไข้จริงๆ ที่ต้องแลกมา

โรงพยาบาลได้เงินจาก สปสช. ยังไง?
6. อย่าเพิ่งตกใจถ้าเห็นคำว่า “DRG”, “RW” หรือ “AdjRW”
มันคือระบบคิดเงินของ สปสช. ง่ายๆ แบบนี้เลยครับ
ระบบนี้คือการ “คิดคะแนน” ให้กับโรคแต่ละโรค..
โรคหนัก รักษายาก = ได้คะแนนเยอะ
โรคเบา รักษาง่าย = ได้คะแนนน้อย
จากนั้น…คะแนนนี้จะถูกเอาไปคูณกับ “ค่าเงินต่อคะแนน” ที่ สปสช. เป็นคนกำหนด = เงินที่โรงพยาบาลจะได้รับ
ตัวอย่างให้เห็นภาพ
สมมติ เคสหนึ่งได้ 2 คะแนน
ถ้า สปสช. กำหนดให้ “1 คะแนน = 8,350 บาท” โรงพยาบาลก็จะได้เงินคืน 16,700 บาท
7. แต่ปัญหาคือ… กลางปีที่ผ่านมา สปสช. แอบลดค่าเงินต่อคะแนนลงเหลือ 7,800 บาท โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าใดๆ
และที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือ… เรียกเก็บเงินคืนย้อนหลัง จากโรงพยาบาลทั้งหมด แม้แต่เคสที่รักษาเสร็จไปแล้วและได้เงินไปแล้วตามราคาที่เคยตกลงกันไว้
ยกตัวอย่างเช่น รพ.ศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น ถูก สปสช. เรียกเงินคืนมาถึง 34 ล้านบาท ทั้งที่รักษาคนไข้ตามกติกาทุกอย่าง แทนที่จะได้เบิกเงินได้ กลับกลายเป็นติดหนี้ให้ สปสช. แทน
8. ลองนึกภาพตามดูนะครับ
คุณทำงานมา 10 เดือน ได้เงินเดือนเดือนละ 20,000 บาท รวมแล้วคุณได้รับเงินไปแล้วทั้งหมด 200,000 บาท
แต่วันหนึ่ง ฝ่ายบัญชีเรียกคุณไปบอกว่า…“ขอโทษด้วยนะ เราเพิ่งรู้ว่าเงินบริษัทไม่พอ เราจะขอลดเงินเดือนคุณลงเหลือแค่ 10,000 บาทต่อเดือน และเงิน 10 เดือนที่จ่ายไปแล้ว ขอปรับลดย้อนหลังด้วยนะ จาก 20,000 เหลือแค่ 10,000 งั้นช่วยคืนเงินเรามา 100,000 บาทด้วยนะ…”
แถมยังบอกว่า…“อีก 2 เดือนสุดท้าย เราจะจ่ายให้ตามอัตราใหม่ เดือนละ 10,000 บาท รวมแล้วคุณจะได้เงินเพิ่มอีกแค่ 20,000 บาท”
สรุปคือ…
• คุณจะได้เพิ่มอีกแค่ 20,000
• แต่ต้องคืนบริษัท 100,000
• เท่ากับคุณกลายเป็น “หนี้บริษัท” ทันที 80,000 บาท
ทั้งที่คุณทำงานครบทุกวัน ไม่มีอะไรผิดเลย
แบบนี้… แฟร์ไหมครับ?
ตอนนี้โรงพยาบาลทั่วประเทศ กำลังเจอแบบนี้
ทั้งหมดนี้ เพราะอะไร?
เพราะ สปสช. บริหารเงินไม่พอ พอเงินใกล้หมด ก็เลยลดค่าเงินต่อคะแนน เพื่อ “จ่ายให้น้อยลง” กับทุกโรงพยาบาล แม้จะเป็นเคสที่รักษาไปแล้วก็ตาม
ยังไม่จบ… “กฎ 3%” ที่เอาเปรียบสุดๆ

9. สปสช. มีกฎว่า จะสุ่มตรวจเวชระเบียนคนไข้ (เอกสารการรักษา) อย่างน้อย 3% ของจำนวนทั้งหมด เพื่อดูว่า… หมอ “กรอกเอกสารถูกไหม?” ให้ “คะแนนโรค” ตามจริงหรือเปล่า?
10. ถ้าหมอรักษาคนไข้จริงแต่เอกสารกรอกไม่ครบ เช่น ลืมเซ็นชื่อหรือพิมพ์ผิดนิดเดียว สปสช. จะหักคะแนนออกทันที แล้วก็เรียกเงินคืนจากโรงพยาบาล
ปัญหาใหญ่คือ… สปสช. ไม่ได้หักแค่ “เคสที่ตรวจเจอ” เท่านั้น แต่จะเอาผลการตรวจแค่ 3% ไปคูณกับ 100% ทั้งหมดเลย!
สมมุติว่า… โรงพยาบาลมีคนไข้ 100 คน สปสช. ตรวจแค่ 3 คน (ตามกฎ 3%)
แล้วเจอว่า จาก 3 คน หมอลงคะแนนไว้รวม 100 คะแนน แต่ สปสช. หักออกเหลือ 50 คะแนน แปลว่า โดนหักคะแนนไปครึ่งนึงใน 3 เคสนี้
ทีนี้ สปสช. จะสั่งหักเงินอีก 97 เคสที่เหลือทั้งหมดด้วย! แม้ไม่ได้เปิดดูเอกสารเลยสักใบ
เหมือนคุณส่งการบ้าน 100 ชิ้น ครูสุ่มดูแค่ 3 ชิ้น เจอสะกดผิดไปนิดนึง แล้วครูบอกว่าผิดทั้งหมด ตัดเกรดตกทั้งร้อยชิ้น โดยไม่เปิดดูอีก 97 ชิ้นเลย
11. มาดูตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น
โรงพยาบาลผ่าตัดคนไข้โรคต่อมลูกหมากโต ใช้เงินไปไปประมาณ 15,000 บาท แพทย์ลงข้อมูลว่าเป็นการผ่าตัด ได้คะแนน 1.5 คะแนน ซึ่งหมายถึงควรได้เงินคืน = 1.5 × 8,350 = 12,525 บาท
แต่เมื่อถูกสุ่มตรวจ สปสช. หาเรื่องบอกว่า การวินิจฉัยแบบนี้ ให้แต้มแค่ 0.5 เท่านั้น
แปลว่าเบิกเงินได้เพียง = 0.5 × 8,350 = 4,175 บาท
โรงพยาบาลลงทุน 15,000 บาท แต่เบิกได้แค่ 4,175 บาท ในเคสนี้ ทั้งที่ผ่าตัดจริง ใช้ทรัพยากรจริง แต่ต้องขาดทุน
โรงพยาบาลรัฐ “ขาดทุน-ติดลบ” หนักขึ้นทุกไตรมาส
12. ปัญหาที่เลวร้ายที่สุดของระบบนี้ก็คือ…โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ เริ่ม “ขาดทุน” และ “เงินบำรุงติดลบ” เพิ่มขึ้น
จากรายงานล่าสุด ไตรมาส 3 ปี 2568 พบว่า มีโรงพยาบาลมากถึง 326 แห่ง ที่เงินบำรุงติดลบ รวมกันกว่า 8,200 ล้านบาท และจำนวนโรงพยาบาลที่เข้าสู่ภาวะขาดสภาพคล่องกำลังเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว
• ไตรมาสแรก: ขาดทุน 4,200 ล้านบาท (195 แห่ง)
• ไตรมาสสอง: ขาดทุน 5,700 ล้านบาท (218 แห่ง)
• ไตรมาสสาม: ขาดทุน 8,200 ล้านบาท (326 แห่ง)
คำถามคือ… ถ้าไม่มีเงินพอจ่ายค่าอุปกรณ์การแพทย์ ค่ายา ค่าตอบแทนบุคลากร แล้วโรงพยาบาลจะรักษาคนไข้ได้อย่างไร?
หมอ-พยาบาล “ทำงานแล้วไม่ได้เงิน”
13. ลองคิดดูว่า ถ้าคุณทำงานหนัก อดหลับอดนอน เพื่อดูแลชีวิตคนไข้ แต่พอถึงสิ้นเดือน กลับไม่มีเงินเดือนให้คุณ…
นี่คือ..สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับหมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ เพราะโรงพยาบาลไม่มีเงินพอจะจ่าย เพราะ สปสช. ไม่ยอมจ่าย หรือจ่ายช้า
บางคนต้องรอเงิน 6 เดือน – 1 ปี ถึงจะได้เงินค่าตอบแทน
และบางครั้ง… รอไปทั้งปี สุดท้ายก็ไม่ได้จ่ายเพราะโรงพยาบาลไม่มีเงินเหลือ
หมอ-พยาบาลคือด่านหน้าของระบบรักษา แต่กำลังถูกทำให้ “หมดแรง หมดศรัทธา” ด้วยระบบที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้

แล้วประชาชนล่ะ? ได้รับผลกระทบไหม?
14. ได้รับแน่นอนครับ และกำลังเกิดขึ้นแล้วทั่วประเทศ
หลายโรงพยาบาลหยุดให้บริการบางอย่างหรือไม่รับผู้ป่วยเพิ่ม เพราะ “เงินไม่พอรักษา” ประชาชนต้องเดินทางไปโรงพยาบาลที่ไกลกว่า เสียค่าใช้จ่ายเองเพิ่มขึ้น
ยาที่เคยได้ครั้งละ 2-3 เดือน ถูกลดเหลือแค่ 1 สัปดาห์ เพราะโรงพยาบาลไม่สามารถสต๊อกยาได้เหมือนเดิม
ยาดีๆ ยานอกบัญชี ยาที่จำเป็นบางตัว… เริ่มหายไปจากระบบ เพราะ รพ. ไม่มีเงินพอจะสั่งเข้าคลัง
ผู้ป่วยโรครุนแรงบางราย อาจไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ เช่น คนไข้หัวใจตีบ 3 เส้น หมอจำเป็นต้อง “เลือกทำแค่ 1 เส้น” เพราะเบิกได้แค่ครั้งเดียว อีก 2 เส้นที่เหลือ… ต้องรอให้ “เกือบตายอีกรอบ” ถึงจะได้สิทธิ์อีกครั้ง
นี่ไม่ใช่ “นิยายดราม่า” แต่คือสิ่งที่ “กำลังเกิดขึ้นจริง” ในโรงพยาบาลหลายแห่งในประเทศไทย และอาจกำลังเกิดกับคุณ หรือคนที่คุณรัก
ตัวอย่างชัดๆ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โดนเล่นงานจาก “การเปลี่ยนกติกาย้อนหลัง”!

15. เริ่มจากคำขอร้อง กลายเป็นขาดทุน 78 ล้าน!
- มี.ค. 2567 สปสช. ขอให้ “รพ.มงกุฎวัฒนะ” ช่วยรับผู้ป่วยบัตรทองกว่า 200,000 คน
- รพ.ตกลงช่วยเต็มที่ เพราะ สปสช. บอกว่า จะจ่ายเงินตามตารางค่ารักษา (Fee Schedule)
แต่เรื่องกลับไม่เป็นแบบนั้น…
– รพ.รักษาคนไข้ไปเรียบร้อย
– สปสช. ค้างจ่ายค่ารักษา 40 ล้านบาท
– ต่อมา “เปลี่ยนกติกากลางปี” โดยเอาระบบใหม่ (ระบบแต้ม) มาใช้ย้อนหลัง
ผลคือ… เดิมจะต้องได้เงิน 40 ล้าน แต่ไม่ได้เงินคืน แถมต้องกลายเป็นติดหนี้ สปสช. 38 ล้านบาทแทน!
สรุป ช่วยรักษาคน กลายเป็นขาดทุน 78 ล้านบาท!
16. หยุดรับบริการผู้ป่วยนอกบัตรทองชั่วคราว
ล่าสุด พล.ต.นพ. เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ออกแถลงการณ์ว่า
– วันที่ 16 ตุลาคม 2568 โรงพยาบาลจำเป็นต้องหยุดให้บริการผู้ป่วยนอกสิทธิบัตรทอง แบบชั่วคราวจนกว่าสปสช.จะเคลียร์หนี้
– การหยุดนี้ ไม่ใช่เพราะโรงพยาบาลอยากถอนตัวจากระบบ แต่เพราะแบกรับภาระทางการเงินไม่ไหวแล้ว
ผอ.โรงพยาบาล กล่าวว่า “ระบบนี้ไม่ได้เป็นแค่ความผิดพลาดทางเทคนิค แต่เป็นระบบที่ไร้ธรรมาภิบาลอย่างสิ้นเชิง”
ผลที่เกิดขึ้นคือ… ผู้ป่วยบัตรทองกว่า 47,000 คน ที่เคยใช้บริการที่นี่แบบผู้ป่วยนอก (OPD) ถูกส่งผลกระทบทันที ต้องมองหาทางเลือกอื่น หรือจ่ายเองไปก่อน
คำพูดสวยหรูของ สปสช. = ฉากบังหน้า
17. สปสช. มักพูดว่า “เราทำตามกฎหมาย” “เราควบคุมงบเพื่อประชาชน” “เราทำเพื่อคนไข้”
แต่ความจริงคือ… สปสช. กำลังใช้คำว่าประชาชนบังหน้า เพื่อกดดันโรงพยาบาลให้แบกรับภาระเองทั้งหมด และจ่ายเงินคืนให้ รพ.น้อยที่สุด เท่าที่จะทำได้ โดยไม่สนใจว่า รพ. จะอยู่รอดหรือไม่?
เราจึงมักจะเห็นว่า รพ. ต้องเปิดรับบริจาคอยู่เรื่อยๆ เพื่อความอยู่รอดและจะรักษาคนไข้ต่อไป
18. ถ้าปล่อยไว้แบบนี้…สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ
• หมอท้อ พยาบาลลาออก
• โรงพยาบาลขาดงบ เครื่องมือเสื่อม ยาขาดแคลน
• และสุดท้าย… ประชาชนไม่มีที่รักษา

นี่ไม่ใช่เรื่องของหมอหรือโรงพยาบาล แต่มันคือเรื่องของคนไทยทุกคน
สปสช. ถือเงิน 2 แสนล้านบาทไว้ในมือ แต่ถ้าไม่มีความโปร่งใสและไม่ยุติธรรม เราทุกคนคือผู้ที่ต้องจ่ายแทน
อยากให้ทุกคนอ่านเรื่องนี้แล้วถามตัวเองว่า “สิทธิ์รักษาฟรีของเรายังปลอดภัยอยู่ไหม?”
อยากให้โพสต์นี้ “พูดแทนหมอและพยาบาล” ที่ไม่มีเวลาออกมาอธิบาย และพูดแทนประชาชนทุกคนที่ไม่รู้ว่ากำลังเสียสิทธิ์ไปทีละน้อย
ฝากแชร์โพสต์นี้ให้คนอื่นได้รู้ทันระบบที่กำลังพัง — ก่อนจะสายเกินไป