
ส.อ.ท. ออกโรงเตือนปิดชายแดนไทย-กัมพูชา กระทบการค้ากว่า 1.7 แสนล้าน ชี้เวียดนามเสียบแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา นายหัสดิน สุวัฒนะพงศ์เชฏ รองเลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมนครราชสีมา ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น ถึงผลกระทบด้านอุตสาหกรรมการเกษตรของไทย ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา และมีการปิดชายแดนไทยกัมพูชา

การปิดด่านส่งผลโดยตรงต่อการค้าชายแดนและผ่านแดน ที่มีมูลค่ามากกว่า 170,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งประเทศไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าสูงถึง 110,000 ล้านบาท แต่การหยุดชะงักดังกล่าว ได้ส่งแรงกระแทกต่อระบบเศรษฐกิจ แม้จะเข้าใจดีว่าความมั่นคงคือสิ่งสำคัญอันดับแรก แต่ผลที่ตามมาทางเศรษฐกิจย่อมไม่สามารถมองข้ามได้
ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้น คือ อุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทย ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากไทยมีโรงงานแปรรูปที่มีกำลังการผลิตสูง แต่ผลผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอ และยังได้รับผลกระทบจากโรคใบด่างมันสำปะหลัง ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้คุณภาพและปริมาณผลผลิตลดลง โรงงานในไทยจึงต้องพึ่งพาการนำเข้าหัวมันสดและมันเส้นจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจากกัมพูชาและลาว
การปิดชายแดนครั้งนี้ ทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก เกษตรกรกัมพูชาที่เคยส่งออกมายังไทย ต้องเปลี่ยนเส้นทางไปยังเวียดนาม ซึ่งทำให้เวียดนามได้เปรียบด้านต้นทุนอย่างมาก เวียดนามจึงใช้โอกาสนี้กดราคารับซื้อจากกัมพูชา ส่งผลให้มีวัตถุดิบต้นทุนต่ำ สำหรับการผลิตแป้งมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆ

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ค่าเงินยิ่งตอกย้ำความได้เปรียบ โดยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ราว 8% ขณะที่ค่าเงินด่องอ่อนลงราว 3% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ความแตกต่างดังกล่าวทำให้สินค้าไทย มีราคาสูงกว่าสินค้าเวียดนามในตลาดโลก ถึงกว่า 11% โดยเฉพาะตลาดจีนที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญ ทำให้ผู้ผลิตไทยถูกกดดันให้ต้องลดราคาลงเพื่อแข่งขันโดยตรง
ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ในเชิงราคาสินค้าเท่านั้น แต่ยังผลักดันให้รัฐบาลกัมพูชา เดินหน้าส่งเสริมนโยบายพึ่งพาตนเอง ทั้งการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ สามารถแปรรูปหัวมันสดเป็นมันเส้น เพื่อเก็บไว้ขายในเวลาที่เหมาะสม ตลอดจนการส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานแป้งมันสำปะหลังภายในประเทศ ซึ่งตนมองว่า หากนโยบายเหล่านี้สำเร็จ กัมพูชาอาจพัฒนาขึ้นจากการเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบ ไปสู่การเป็นประเทศผู้แปรรูปสินค้าเกษตรเต็มรูปแบบ และนั่นหมายถึงการสูญเสียตลาดสำคัญของไทยในระยะยาว
ดังนั้น การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา แม้จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสถานการณ์ความมั่นคง แต่ในเชิงเศรษฐกิจถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะภาคเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปที่เป็นเสาหลักสำคัญ ตนเห็นว่า ภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด และหาทางออกเพื่อบรรเทาผลกระทบ โดยไม่ปล่อยให้ความได้เปรียบหลุดลอยไปอยู่ในมือประเทศคู่แข่ง