
เปิดรายงานประเมินผลวุฒิสภา มีอึ้ง คะแนนพึงพอใจต่ำเป็นประวัติการณ์ยังมีหน้ายิ้มระรื่นทัวร์นอกกันฉ่ำปกติ
…
สว. "นันทนา" ออกโรงสับบทบาท กสทช. 3 ปี ไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม นอกจากแบ่งขั้วขัดแย้ง แค่ตั้งเลขาธิการยังไม่มีปัญญา ต้องปล่อยว่างเว้นเกินวาระปกติ 5 ปี สุดงงประธาน กสทช. ใช้เวลา 1 ใน 3 ของวันทำงานทัวร์นอก เปิดรายงานประเมินผล วุฒิสภา เผยไม่เคยมีองค์กรอิสระใดได้คะแนนความพึงพอใจต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ขนาดนี้ จี้ใจดำ สว.จะปล่อยไว้แบบนี้อีกนานไหม?
รศ.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้โพสต์ FB "ดร.นันทนา นันทวโรภาส" ถึงบทบาทการทำงานของ "คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ" (กสทช.) เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา โดยระบุว่า กสทช. เสนอรายงานต่อวุฒิสภาว่า ได้รับการประเมินความพึงพอใจจากประชาชนด้านโทรคมนาคม 33% "ไม่น่าตกใจ เพราะ สว. ประเมินต่ำกว่าอีก ไม่เชื่อลองฟังดู แล้วจะรู้ว่า กสทช.ปกป้องผลประโยชน์ใคร?"

ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 20 วันที่ 19 กันยายน 2568 ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของ กสทช. และได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวางนั้น รศ.นันทนา ได้กล่าวถึงบทบาทของ กสทช. ว่า มีปัญหาความขัดแย้งและธรรมาภิบาลภายในองค์กร กสทช. ที่ส่งผลให้การทำงานที่เป็นอัมพาต องค์ประชุมไม่ครบ โดยระบุว่า ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา มีแต่ข่าวความขัดแย้งในการบริหารงานภายใน กสทช. ซึ่งส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมถึงขั้นที่คณะกรรมการไม่สามารถจัดประชุมได้ในบางครั้ง เพราะองค์ประชุมไม่ครบ
#ประธานทัวร์นอก - ไร้เลขาธิการเป็นประวัติการณ์
ขณะที่ตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ที่ว่างเว้นมายาวนานเป็นประวัติการณ์นั้น สะท้อนให้เห็นถึงการที่คณะกรรมการไม่สามารถตกลงกันเพื่อแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ตัวจริงได้ ทำให้ต้องใช้รักษาการในตำแหน่งนี้เป็นเวลายาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนบทบาทของประธาน กสทช. ที่ถูกตั้งคำถามมากมายต่อการเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง โดยข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมาในช่วง 15 เดือนแรกของการดำรงตำแหน่งประธาน กสทช. เดินทางไปต่างประเทศถึง 16 ครั้ง รวมระยะเวลาที่ไปต่างประเทศถึง 121 วัน หรือเกือบ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด โดยมีการเบิกจ่ายงบประมาณไปถึง 45 ล้านบาท ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นสถิติสูงสุดของหัวหน้าหน่วยราชการไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ

ที่สำคัญคือ การเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่มีการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการทำงานของ กสทช. โดยในเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 68 ซึ่งประชาชนคาดหวังจะได้รับการเตือนภัยผ่านระบบ Cell Boardcast ผ่านระบบ SMS แต่ก็กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ซึ่งในภายหลังกรรมการ กสทช. ท่านหนึ่งได้เปิดเผยว่า การจะออกข้อความเตือนภัยได้ ต้องรอให้ประธาน กสทช. เป็นผู้ให้ความเห็นชอบก่อน ทำให้ประชาชนทั้งประเทศต้องรอการตัดสินใจของคนเพียงคนเดียว
#ประธาน กสทช. อำนาจล้นฟ้า?
นอกจากนี้ในระเบียบข้อบังคับของ กสทช.เอง ก็มีความแปลกประหลาด มีการให้อำนาจพิเศษในการออกเสียงชี้ขาดแก่ประธาน กสทช. ที่แปลกไปจากหน่วยงานอื่น ๆ คือ เมื่อคะแนนเสียงของกรรมการสองฝ่ายเท่ากัน ประธาน กสทช. ซึ่งได้ออกเสียงในฐานะกรรมการไปแล้ว 1 ครั้ง สามารถใช้สิทธิ์ออกเสียงอีกครั้งในฐานะประธานชี้ขาดได้อีกซึ่งตนเองไม่เคยเห็นหน่วยงานใดในโลกที่มีการกำหนดอำนาจในลักษณะเช่นนี้
"นี่คือภาพรวมปัญหาธรรมาภิบาลภายในองค์กร ซึ่งบริหารงบประมาณเกือบ 6,000 ล้านบาท ที่นำมาสู้การตั้งคำถามว่า เราจะปล่อยให้องค์กรอิสระบริหารกันไปอย่างนี้ต่อไปอีกหรือ และสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้กับคนไทยอย่างมหาศาลมากที่สุดที่มาจากองค์กรอืสระแห่งนี้ ก็คือ ปัญหาขบวนการสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ ที่ทำให้คนไทยตกเป็นเหยื่อและสิ้นเนื้อประดาตัวไปหลายแสนคน แต่ กสทช. กลับไม่สามารถดำเนินการใดๆ ในการสกัดกั้นกลุ่มคนเหล่านี้ได้ ซึ่งตอกย้ำให้เห็นว่า ความขัดแย้งและความบกพร่องในการบริหารจัดการภายในนั้น ได้ส่งผลโดยตรงต่อความล้มเหลวในการคุ้มครองประชาชนอย่างที่ได้กล่าวตั้งแต่ต้น"

#เปิดรายงานประเมินผล กสทช. "อายแทบแทรกแผ่นดิน"
สว.นันทนา ยังได้กล่าวถึงวีรกรรมของ กสทช. ที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ประชาชนคนไทยมากที่สุดก็คือ
1. มติ กสทช.ที่ เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาคือ การ "รับทราบ" แต่ไม่มีอำนาจ "อนุมัติ"
โดยเมื่อ 2 ปีก่อน กสทช. ได้มีมติว่าตนเองไม่มีอำนาจ "อนุมัติ" แผนการควบรวมกิจการของค่ายโทรศัพท์ยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง ทำได้เพียงแค่ "รับทราบ" เท่านั้น จนทำให้สังคมเกิดคำถาม หาก กสทช. มีอำนาจเพียงแค่ "รับทราบ" ไม่ต่างจากอำนาจของประชาชนโดยทั่วไปแล้ว เราจะมี กสทช. ไปเพื่ออะไร และการดำรงตำแหน่งที่ได้รับค่าตอบแทนจากภาษีประชาชนนั้น เพื่อดูแลผลประโยชน์ของใครกันแน่
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการใช้อำนาจชี้ขาดของประธาน กสทช. มีการกล่าวอ้างว่า มติดังกล่าวเกิดขึ้นได้ เพราะประธาน กสทช. ใช้สิทธิ์ลงมติ 2 ครั้ง เพื่อให้คะแนนเสียงออกมาเป็นการชี้ขาด ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นปัญหาธรรมาภิบาลและการใช้อำนาจของประธาน กสทช. ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้

2. ผลกระทบที่ตามมาจากมติดังกล่าว ก็คือ การแข่งขันที่ลดลงและคำสัญญาที่เลื่อนลอย การตัดสินใจดังกล่าวได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างตลาดและผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคประชาชนกังวลมาโดยตลอด การปล่อยให้มีการควบรวมกิจการ เท่ากับเป็นการยอมให้ประเทศไทยมีผู้ให้บริการในตลาดน้อยลง ซึ่งนำไปสู่การแข่งขันที่ลดลง และท้ายที่สุดก็จะส่งผลร้ายต่อผู้ใช้บริการทั้งประเทศ
"แม้ กสทช. จะเคยกล่าวว่า หลังการควบรวมจะดูแลให้ค่าบริการถูกลงและบริการดีขึ้น แต่เสียงของประชาชนที่ตั้งคำถามกลับมาอย่างเหน็บแนมว่า "จะเริ่มกันกี่โมง" สอดคล้องกับข้อมูลที่เราคุยกันไปก่อนหน้านี้ว่า ค่าบริการเฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน (ARPU) กลับเพิ่มสูงขึ้นสวนทางกับคำสัญญา"
3. ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมล่าสุด คือ การประมูลคลื่นความถี่ 4 ย่าน เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งกลายมาเป็นภาพสะท้อนของตลาดที่ขาดการแข่งขันอย่างชัดเจน เพราะมีผู้เข้าประมูลเพียง 2 ราย ซึ่งก็คือผู้ให้บริการรายใหญ่เจ้าเดิมในตลาด ผลลัพธ์ที่คาดเดาได้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถคาดการณ์ผลการประมูลล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำว่าใครจะได้คลื่นไหนไปบ้าง ซึ่งเป็นการยืนยันว่าการแข่งขันในตลาดได้ลดน้อยลงไปแล้วจริงๆ

โดยสรุปข้อมูลใหม่นี้ได้เชื่อมโยงปัญหาทั้งหมดเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ ปัญหาขบวนการสแกมเมอร์ ที่ กสทช. ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างจริงจัง ไปจนถึงการตัดสินใจเชิงนโยบายที่สำคัญอย่างการควบรวมกิจการ ซึ่งสะท้อนถึงความล้มเหลวในการปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ การประมูลคลื่นความถี่ ไม่ใช่การแข่งขัน แต่คือการ "แบ่งเค้ก" ราคาที่ต่ำเกินไป มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า ราคาประมูลนถูกตั้งไว้ในระดับที่ต่ำมาก จนหลายคนมองว่านี่ไม่ใช่การประมูลเพื่อแข่งขัน แต่เป็นเหมือนการจัดสรร หรือ "การแบ่งเค้ก" ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ 2 เจ้าเท่านั้น
"แม้จะมีเสียงคัดค้านและทักท้วงมากมาย แต่ กสทช. ก็ยังคงเดินหน้าจัดการประมูลต่อไป และประกาศว่าเป็นความสำเร็จเรียบร้อย ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่า "เรียบร้อยใคร?" เพราะที่แน่ๆ คือ ไม่เรียบร้อยสำหรับประชาชน"
#ผลประเมินความพึงพอใจที่น่าอาย
สว.นันทนา กล่าวในตอนท้ายด้วยว่า ไม่แปลกใจกับผลการสำรวจความเห็นของผู้ใช้บริการที่มีต่อ กสทช. ที่ได้คะแนนโดยรวมเพียง 66% และที่เลวร้ายที่สุดคือคะแนนพึงพอใจ ในส่วนที่เกี่ยวกับ "กิจการโทรคมนาคม" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ กลับได้รับคะแนนความพึงพอใจเพียง 33% เท่านั้น ต่ำที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
"ตลอดการทำงานของดิฉัน ยังไม่เคยเห็นรายงานขององค์กรไหนที่ได้คะแนนความชื่นชมจากประชาชนต่ำเพียง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์มาก่อน ซึ่งตัวเลขนี้เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความล้มเหลวในการทำงานในสายตาของประชาชน จึงขอให้ กสทช. ตั้งหลักใหม่ และ "กอบกู้ชื่อเสียง" หยุดการบริหารแบบเดิมๆ แล้วตั้งหลักใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหา"

อย่างไรก็ตาม มีคำถามถึงความรับผิดชอบว่าผลการประเมิน่ออกมาข้างต้นนั้น กสทช. ควรจะ "เขินอายกันสักนิด"ไหม ที่ได้รับเงินเดือนและสิทธิประโยชน์มากมายจากภาษีของประชาชน แต่กลับทำงานที่สร้างความผิดหวังให้กับผู้ที่จ่ายเงินเดือนให้ตนเองได้มากขนาดนี้ ซึ่งเป็นการสรุปภาพรวมของวิกฤตศรัทธาที่ กสทช. กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างชัดเจน