
มีข่าวเล็กๆ ที่สื่อโซเชียลไทยที่พากันแชร์กันใหญ่โตว่า "สมเด็จฮุนเซ็น" ประธานพฤติสภาของกัมพูชา (และทำหน้าที่รักษาการประมุขประเทศ) จะดำเนินการยึดทรัพย์สินเงินลงทุนของ "นายทักษิณ" ในกัมพูชา (รวมไปถึงนักการเมืองไทยอีกหลายราย) ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงไหม หรือไปเอาข้อมูลมาจากไหน?
…
ก่อนที่ "สมเด็จฮุนเซ็น" จะออกมาโพสต์ยืนยันว่า "ทักษิณ" ไม่ได้มีทรัพย์สินหรือการลงทุนใดๆ ในกัมพูชา และตนเองกับตระกูลชินวัตร ก็ไม่เคยมีการหารือหรือทำข้อตกลงในการทำธุรกิจร่วมกันแต่อย่างใด
และแม้ตนเองกับ "ทักษิณ" หรือ "มาดามยิ่งลักษณ์" จะสะบั้นสัมพันธ์ระหว่างกันไปแล้ว แต่ยังคงต้องให้เกียรติ และรักษาเกียรติยศ ชื่อเสียงของอดีตนายกฯ ของไทยอยู่ จึงขอให้หยุดแชร์เรื่องเหลวไหลเหล่านี้เสีย

หลัง "สมเด็จฮุนเซ็น" ออกมาโพสต์แบบนี้ สื่อที่รู้เรื่องดีของไทยบางแห่งก็รีบออกตัวว่า คงมีการวางแผนแก้ต่างให้กันไว้แล้วนั่นแหล่ะ ก่อนจะไปขุดเอาข้อมูลการลงทุนในธุรกิจน้ำมันบ้าง สื่อสารโทรคมนาคม ดาวเทียมอะไรต่อมิอะไรมาโยงกันให้มั่วตุ้มไปหมด
เอาว่าเรื่องของความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาและการตอบโต้ระหว่างกัน จนถึงขั้นที่มีการยุส่งให้ทางการไทยยึดทรัพย์หรืออายัดทรัพย์สินเงินลงทุนของนักการเมืองกัมพูชาในไทยซะให้สิ้นเรื่องราวนั้น
ก็อย่างที่กล่าวแต่ต้นว่า ไม่รู้ว่าสื่อที่ปูดเรื่องเหล่านี้ออกมา ไปขุดเอาข้อมูลเหล่านี้มาจากไหน ทำไมประชาชนคนไทยเราถึงไม่รู้ระแคะระคายมาก่อน
แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนจะถลำลึกเล่นใหญ่เบอร์นั้น อยากให้ทุกฝ่ายตั้งสติและลองดูการตอบโต้ในเรื่องที่จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินเงินลงทุนระหว่าง "อียู" กับรัสเซีย กันดูเอา หลังจากการประชุม G7 ในปี 2565 แล้วมีมติให้ "Freeze แช่แข็ง" เงินรัสเซียกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 11 ล้านล้านบาท) ที่อ้างว่าเป็นการ “ลงโทษ” รัสเซียที่นำกำลังบุกยูเครน โดยเงินพวกนี้ส่วนใหญ่เก็บอยู่ในธนาคารในยุโรป โดยทางการรัสเซียได้แต่ขู่หากอียูเล่นแรงถึงขั้นยึดเอาเงินลงทุนเหล่านั้นไปจริง ทางรัสเซียก็พร้อมยึดกลับ ประเภท "แรงมา-แรงกลับ ไม่โกง"
ล่าสุด ทางอียูเริ่มคิดการใหญ่ที่ไม่ใช่แค่ freeze เงินลงทุนของรัสเซียในธนาคารต่างๆ ในยุโรปแล้ว แต่รุกคืบจะ “ยึดถาวร” เอามาช่วยยูเครนให้จบเกมเร็ว ๆ ..
โดย นาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เสนอว่า จะเอาดอกผลจากเงินพวกนี้ออกมาให้ยูเครนกู้เป็นแพ็กเกจใหม่อีก 50,000 ล้านดอลลาร์
ถ้อยแถลงของอียูทำเอาทางการรัสเซียถึงกับควันออกหู และประกาศมาตรการตอบโต้แบบแข็งกร้าวไม่มีอ้อมค้อมว่า.. “หากอียูยึดเงินหรือทรัพย์สินของรัสเซียไป เงินลงทุนของอียูที่มีอยู่ในรัสเซียเองก็ไม่เหลือเหมือนกัน”

ทำเอาทางการอียูถึงกับนั่งไม่ติดเหมือนกัน เพราะชาติตะวันตกและอียูมีการลงทุนโดยตรง (FDI) ในรัสเซียอยู่มากกว่า 285,000 ล้านดอลลาร์ ตามที่ Sputnik Globe คำนวณไว้ก่อนหน้า
หากฝั่งตะวันตก “ล้วงตับ” เงินลงทุนรัสเซียเมื่อไหร่ รัสเซียก็พร้อม “ล้วงคืน” จากสินทรัพย์ชาติตะวันตกเหล่านี้ทันที โดยล่าสุด Dmitry Peskov โฆษกรัฐบาล ออกมายืนยันว่า การยึดเงินลงทุนของรัสเซียนี้ “จะถูกท้าทายในศาล” และถ้าจะบวกกันจริง ๆ ทางรัสเซียก็มีลิสต์ทรัพย์สินต่างชาติในรัสเซียราว 600,000 ล้านดอลลาร์ ที่พร้อมจะโดนตอบโต้ได้ทันที
ถ้อยแถลงของทางการรัสเซียที่ออกมาล่าสุดนั้น ทำเอาชนชาติยุโรปนั่งไม่ติดและทำท่าจะต้องทบทวนท่าทีกันใหม่ยกกระบิ!
เพราะรู้ดีว่า หากทำจริงก็อาจกลายเป็น "ไฟลามทุ่งโลกการเงิน" เพราะการยึดทุนสำรองธนาคารกลางของประเทศอื่น จะทำให้ความเชื่อมั่นต่อดอลลาร์และยูโรพังยับ นักลงทุนชาติอื่นอาจจะเริ่มคิดว่า “วันนี้รัสเซียโดน วันหน้าก็อาจเป็นคิวของเรา” เช่นกัน
สรุปจนถึงวินาทีนี้การขู่จะยึดเงินฝากหรือเงินลงทุนระหว่างอียู-รัสเซีย ก็ยังคงชะงักงันอยู่แค่นั้น เพราะรัสเซียประกาศกร้าวออกมาแล้ว "แรงมา-แรงกลับ ไม่โกง"

และหากรัฐบาลไทยงัดลูกไม้นี้มาเล่นงาน "สมเด็จฮุนเซ็น" และเครือข่ายขึ้นมาจริงๆ อย่างที่สื่อช่างยุบางสำนักตีปี๊บกันนัก ก็ไม่รู้ว่าหากกัมพูชาเกิดบ้าระห่ำยึดเงินและทรัพย์สินไทยขึ้นมา ฝ่ายไหนจะเสียหายมากกว่ากัน
เพราะเท่าที่เราเห็นกัมพูชามีการลงทุนในไทยแทบจะหลัก 100 ล้าน หรือ 1,000 ล้านเท่านั้น ส่วนนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในเขมรนั้นทะลุแสนล้านบาทแน่ !!!
หมายเหตุ: อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง (ทุนไทยลงทุนในเขมร)..
เนตรทิพย์ Special Report
“ไทย-เขมร” ใครหรือสะเทือนซาง!.. สะบั้นสัมพันธ์-ปิดด่านการค้า-ลงทุน
https://www.natethip.com/news.php?id=10208
