
ทันทีที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี จดหมายแสดงความยินดีก็ร่อนมาจาก “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา คำพูดเต็มไปด้วยคำอ่อนหวาน เหมือนมิตรภาพแท้ๆ แต่จริงๆ อาจซ่อนพิษร้าย!
..
“คำหวาน” ที่ต้องระวัง!
คำหรือประโยคที่น่าจับตาในจดหมายของ ฮุน มาเนต ได้แก่
“resounding victory”... ยกย่องชัยชนะทางการเมืองของท่านนายกฯ อนุทินฯ
“rebuild mutual trust”... เหมือนบอกกลายๆ ว่า ความไว้ใจกันเคยพังไปแล้ว หรือยอมรับตรงๆ ว่า “เคยแตกหัก” ไม่ใช่แค่สั่นคลอน แต่เสียหายจนต้องสร้างใหม่
“transform the shared border between our two Kingdoms into one of peace, cooperation, development, and shared prosperity”... ขีดเส้นใต้เรื่องชายแดนชัดๆ
พูดง่ายๆ จดหมายฉบับนี้ไม่ใช่แค่ยินดี แต่คือ “ข้อเสนอรีเซ็ตความสัมพันธ์”

ต่างกับตอนส่งถึง “แพทองธาร” อย่างไร?
ย้อนกลับไปตอน “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ก็ส่งจดหมายยินดีเหมือนกัน แต่โทนอบอุ่น-มิตรภาพล้วนๆ
ไม่มีคำว่า “border” เน้นเชื่อมโยงประชาชน-ประชาชน คล้ายจดหมายมิตรแท้ ไม่ใช่คู่เจรจา
แปลว่า… กับแพทองธาร กัมพูชาไว้ใจเต็มที่ แต่กับอนุทิน ต้อง “ขอคืนดี”
แม้ข้อความในจดหมายถึงท่านนายกฯ แพทองธารฯ สะท้อน “ความไว้ใจ” แต่กัมพูชาก็ยังเปิดฉากทำสงครามกับไทยก่อน
วินาทีนี้..ไว้ใจ “ฮุน มาเนต” ได้ไหม?
คำตอบคือ ยาก! เพราะช่วงที่ผ่านมากัมพูชายังส่งโดรนลาดตระเวนใกล้ชายแดน อีกทั้ง ชาวกัมพูชายังก่อความวุ่นวายบริเวณบ้านหนองจานไม่หยุดหย่อน

ปม MOU 43/44 แผนที่ 1:200,000 ยังทำให้คนไทยไม่มั่นใจ และผู้นำกัมพูชาเองก็ต้องการ “โชว์ผลงาน” กับประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องเขตแดน เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของเขา
จดหมายนี้จึงอาจไม่ใช่ “น้ำใจ” แต่คือ “การเดินหมากทางการทูต”
ถ้อยแถลงของ “อนุทิน” หลังรับตำแหน่ง หลังขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านนายกฯ อนุทินฯ พูดชัดว่า “จะเร่งแก้ปัญหากรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยแนวทางสันติภาพ เพื่อลดความสูญเสียของประชาชน แต่จะยึดหลักการไทยไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว คนไทยต้องไม่เสียประโยชน์ และดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข”
แปลว่า ไทยจะไม่ยอมอ่อนข้อ... นี่คือสัญญาณว่า รัฐบาลอนุทินจะไม่ “ปล่อยผ่าน” เรื่องชายแดนง่ายๆ... นี่คือการวางจุดยืนที่แข็งแกร่งกว่ารัฐบาลก่อน
บทสรุป..
อย่าเพิ่งหลงเชื่อจดหมายหวานๆ ของฮุน มาเนต! นี่อาจไม่ใช่ไมตรี แต่คือ “หมากการทูต” ที่กัมพูชาได้วางกับดักไว้ เพราะถ้อยคำที่ดูเหมือนมีมิตรภาพ แท้จริงอาจคือ “การทดสอบ” ไทยว่าจะตอบสนองอย่างไร?
ถ้าไทยอ่อน... กัมพูชาได้แต้มทันที ถ้าไทยแข็ง... เกมอาจร้อนแรงขึ้น
สุดท้ายการเมืองระหว่างประเทศไม่เคยมีคำว่า “เพื่อนแท้” มีแต่ผลประโยชน์ล้วนๆ
โดย.. ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองผู้ว่าราชการ กทม.