
เห็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมาย ทนายความ คลินิกหมอความดาหน้ากันออกมายืนยัน นั่งยัน การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) จะให้กรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดงทั้ง 995 แปลง 5,083 ไร่ ซึ่งเป็นที่หลวงรถไฟนั้น
เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญยิ่งกว่า "เข็นครกขึ้นเขา" เอาว่าชาตินี้ไม่มีทางทำได้ ตราบใดที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ไม่สามารถจะไปเอา "ระวางแผนที่" แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาเวนคืนปี 2464 ตัวจริงออกมาแสดงให้ประจักษ์

หาไม่เช่นนั้น กรมที่ดินต้องดำเนินการตามมาตรา 61 ประมวลกฎหมายที่ดิน 2497 ที่ท้ายที่สุดแล้วต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของการพิสูจน์ว่าเป็นที่ดินของใครที่ต้องจบลงด้วย "ระวางแผนที่" ท้ายพระราชกฤษฎีกา อยู่ดี
ถึงขนาดที่ "นายแก้วสรร อติโพธิ" นักวิชาการอิสระด้านกฎหมาย ออกมาระบุ กรมที่ดินไม่มีอำนาจเพิกถอนในภาพรวมได้ เนื่องจากคำตัดสินของศาลฎีกามีผลผูกพันเฉพาะ 35 ราย ที่เป็นคู่ความในคดีแพ่งระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับประชาชนเท่านั้น

ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 64 บัญญัติไว้ "บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้พ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได้ แต่ถ้าศาลเห็นว่า ตามสภาพและพฤติการณ์ ผู้กระทำความผิดอาจจะไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด ศาลอาจอนุญาตให้แสดงพยานหลักฐานต่อศาล และถ้าศาลเชื่อว่า ผู้กระทำไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติไว้เช่นนั้น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้"
กรณีเขากระโดงที่กรมที่ดินยกเหตุผลขึ้นมาปัด (สวะ) ความรับผิดชอบในการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ด้วยข้ออ้างการรถไฟฯ ยังไม่ได้นำระวางแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกามาแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ได้
อีกทั้งเมื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับไป เมื่อครั้งกรมที่ดินเปิดให้ ปชช. ที่ครอบครองที่ดินมาก่อนได้ยื่นขอออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินในเขตเมืองบุรีรัมย์ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ก่อน 31 ธันวาคม 2497 แต่การรถไฟฯ เพิ่งจะมายื่นแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินบริเวณเขากระโดงจำนวน 5,083 ไร่ ที่ว่าเป็นที่ดินรถไฟที่ได้จากการเวนคืนเมื่อปี 2464 เอาในเดือน มีนาคม-เมษายน 2498 หลัง ปชช. ยื่นขอออกเอกสารสิทธิ์กันไปแล้ว
โดยกรมที่ดินไม่เคยลงไปตรวจสอบเลยว่า ที่ดินเขากระโดงที่ว่านั้นอยู่ในเขตเวนคืนของการรถไฟที่มีกฤษฎีกาเวนคืน พ.ศ.2464 หรือไม่ อ้างแต่เพียงยึดหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 เป็นสรณ ใครได้ที่ดินมาก่อนกฎหมายฉบับนี้ ต้องมาจดแจ้งกับกรมที่ดินเท่านั้น
มันจึงเกิดกรณีการรถไฟฯ ที่เพิ่งจะงัวเงียมาจดแจ้งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเขากระโดงเอาในปี 2498 หลังกรมที่ดินได้ออกเอกสารสิทธิ์ให้แก่ชาวบ้านร้านรวงกันไปแล้ว
โดยเอกสารสิทธิ์ที่กรมที่ดินออกไปนั้น จะ "ทับซ้อน" ที่ดินเวนคืนของการรถไฟฯ หรือไม่ หรือจะกี่มากน้อย กรมที่ดินก็ยืนเป็น "กระต่ายขาเดียว" ว่า เป็นเรื่องที่การรถไฟฯ จะต้องนำเอกสารมาแสดงให้ประจักษ์เท่านั้น จึงจะดำเนินการเพิกถอนให้ได้

หากจะถามว่า แล้วเหตุใดการรถไฟฯ จึงไม่หอบระวางแผนที่และเอกสารที่ยืนยันว่าที่ดินบริเวณเขากระโดงที่ว่าเป็นที่หลวงรถไฟฯ ที่มีกฤษฎีกาเวนคืนไปแล้วตั้งแต่ปี 2564 แถมยังมีระวางแผนที่ของกรมแผนที่ทหารที่มีการสำรวจรังวัดจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศในช่วงปี 2465 ที่ก็มีการระบุเขตที่ดินรถไฟบริเวณเขากระโดงไว้ด้วยอีก
ก็คงตอบแบบ "กำปั้นทุบดิน" ของหน่วยงานรัฐที่รู้จักแต่คำว่า "เจ้าคน นายคน" ในอดีต เมื่อเป็นหลวงรถไฟยังไงก็ "ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้" เมื่อมีการตราพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินเป็นของหลวงไปแล้ว แปะข้างฝา ณ ที่ทำการสถานีรถไฟบุรีรัมย์ หรือที่อำเภอเมืองบุรีรัมย์ไปแล้ว หน่วยงานอื่นๆ ต้องเข้ามาดูเองระมัดระวังกันเอาเอง
แถมข้อมูลระวางแผนที่จริงที่มีอยู่ในเวลานั้นก็ไม่รู้ใครต่อใครเบิกไปใช้กันบ้างอาจหาไม่เจอกันอีก และคงไม่รู้จะต้องไปหาระวางแผนที่จริงจากไหน ผู้บริหารรถไฟในเวลานั้นคงคิดไม่เป็นหรอกว่า มันยังมีระวางแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาที่เก็บไว้ที่สำนักงานกฤษฎีกา หรือจะในหอสมุดแห่งชาติ หรือยังมีแผนที่ของกรมแผนที่ทหารที่ทำการสำรวจจัดทำแผนที่ในปี 2465-66 หลังการรถไฟทำการเวนคืนที่ดินเขากระโดงไปแล้วด้วยอีก
ทั้งหลายทั้งปวงมันจึงเลยกลายเป็นจุดโหว่ที่ทำให้กรมที่ดินเองจึงได้แต่ "ยืนกระต่ายขาเดียว" ว่า หากรถไฟไม่สามารถนำเอกสารหลักฐานมาแสดงว่าที่ดินเขากระโดงที่มาจดแจ้งในภายหลัง เป็นที่ดินเวนคืนหรือที่หลวงรถไฟจริงๆ กรมที่ดินก็จะไม่พิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกไปแล้วก่อนหน้า ไม่คิดที่จะไปตรวจสอบว่ามีพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินเขากระโดงปี 2464 ตามที่การรถไฟอ้างหรือไม่อย่างไร
เพราะ "ธุระไม่ใช่" ไม่ใช่เรื่องที่กรมที่ดินจะต้องไปเสาะแสวงหา
มันจึงกลายเป็นกรณี "สุญญากาศ" ที่ปล่อยให้มีการจดแจ้งทำนิติกรรมและปู้ยี่ปู้ยำที่ดินเขากระโดงกันมา จนกระทั่งเกิดกรณีที่ประชาชนที่ถือครอง ที่ดินจำนวน 35 แปลง เห็นว่าตัวเองมีสิทธิ์ในที่ดินที่ได้มาเหล่านี้มาอย่างถูกต้อง จึงนำเรื่องไปฟ้องต่อศาลขอให้ศาลสั่งว่าเป็นที่ดินที่ได้มาโดยชอบ
แต่กลับต้อง "ช็อคตาค้าง" เมื่อการรถไฟฯ ได้ยื่นเรื่องคัดค้าน ยืนยันว่าเป็นที่ดินรถไฟและท้ายที่สุดศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาว่า เป็นที่ดินการรถไฟฯ จนกลายเป็นมหากาพย์ที่ทำให้กรมที่ดินและที่ดินเขากระโดงไปไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้!!!
เหนือสิ่งอื่นใด คงต้องย้อนถามนายแก้วสรรและทุกฝ่ายในบ้านเมืองนี้ ถ้าที่ดินเขากระโดงที่ว่านี้ มีชื่อของ "นายทักษิณ" และคนใน "ตระกูลชิน" ถือครองอยู่ด้วยจะ 5 แปลง 10 แปลง 50-100 ไร่ หรือจะ 200 -500 ไร่

พวกท่านยังจะยืนยัน นั่งยันว่า การได้มาซึ่งเอกสารสิทธิ์ครอบครองที่เขากระโดงนี้ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย กรมที่ดินไม่มีอำนาจเพิกถอนเอกสารสิทธิ์แบบเดียวกับกรณี "ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์" หรือไม่?
แก่งหิน เพิง