
# TDRI ชี้แผนปั๊มไฟฟ้าสะอาดไทยล่าช้ากว่าเพื่อนบ้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน (มพช.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดสัมมนา "เมื่อรัฐช้า ทางรอดอุตสาหกรรมที่ไฟสะอาดไม่เพียงพอ" โดยให้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ศึกษาและนำเสนอประเด็นที่สำคัญเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เข้าถึงพลังงานสะอาดได้อย่างเพียงพอ

# TDRI เตือนไฟฟ้าสะอาดไทย "อืดเป็นเรือเกลือ"
นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการ มพช. กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะในเขต EEC ยังไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้อย่างเพียงพอ ปัญหาหลักมาจากความล่าช้าในการเปิดเสรีตลาดไฟฟ้า (Third-Party Access: TPA) ทำให้ภาคเอกชนไม่สามารถเชื่อมต่อและใช้โครงข่ายไฟฟ้าของรัฐได้อย่างอิสระ
ประกอบกับความไม่ชัดเจนของนโยบายด้านพลังงาน โดยเฮพาะแผนพัฒนาพลังงานชาติ (NEP)ไม่มีการประกาศใช้มานานกว่า 2 ปี สร้างความไม่แน่นอนในการลงทุนและการวางแผนสำหรับภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ข้อจำกัดในนโยบายซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) ยังคงจำกัดเฉพาะบางกลุ่ม เช่น Data Center ทำให้ภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ไม่สามารถเข้าถึงได้

ทั้งนี้ หากประเทศไทยยังคงดำเนินการด้านพลังงานสะอาดอย่างล่าช้า จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศ ดังนี้
1. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้น ภาคอุตสาหกรรมต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการพึ่งพาไฟฟ้าแบบ Green Tariff (UGT) ซึ่งมีราคาสูงและไม่ยืดหยุ่น กลไกการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) โดยเฉพาะภาคการส่งออกจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอน ทำให้เสียเปรียบในการแข่งขัน สูญเสียโอกาสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ต้องการพลังงานสะอาดที่ประเมินว่า สูงกว่า 1.1 ล้านล้านบาท
อีกทั้ง อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่เสี่ยงสูญเสียโอกาส โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า, ดิจิทัล (รวมถึง Data Center) และเทคโนโลยีสีเขียว อาจสูญเสียโอกาสในส่วนนี้มากถึง 700,000 ล้านบาท เนื่องจากนักลงทุนเหล่านี้มีนโยบายชัดเจนในการใช้พลังงานสะอาดและจะเลือกไปลงทุนในประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ เช่น มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 หรือ PDP 2024 ได้กำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 34,851 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 51% ของปริมาณไฟฟ้าทั้งหมด แบ่งเป็น พลังงานแสงอาทิตย์ 24,412 เมกะวัตต์, พลังงานลม 5,345 เมกะวัตต์, ชีวมวล 1,045 เมกะวัตต์, ก๊าซชีวภาพ 936 เมกะวัตต์, พลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ 2,681 เมกะวัตต์, ขยะอุตสาหกรรม 12 เมกะวัตต์, ขยะชุมชน 300 เมกะวัตต์, พลังน้ำขนาดเล็ก 99 เมกะวัตต์ และความร้อนใต้พิภพ 21 เมกะวัตต์ ขณะที่ ณ กรกฎาคม 2567 ไทยมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพียง 10,010 เมกะวัตต์ คิดเป็น 26% ของปริมาณไฟฟ้าทั้งหมด
# ชี้ดีมานด์ไฟฟ้าสะอาดพุ่ง 5 พันเมก
นางสาวอารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า นักลงทุนโดยเฉพาะกลุ่ม Data Center มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสะอาดเพิ่มขึ้น 9 เท่า โดยคาดว่าในปี 2579 หรือ11 ปีข้างหน้า จะมีความต้องการไฟฟ้าถึง 5,000 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่จะเป็นไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งรัฐต้องเร่งนโยบายเปิดเสรีตลาดไฟฟ้า (Third-Party Access : TPA) และลดอุปสรรคความไม่ชัดเจนของนโยบายด้านพลังงานเป็นอุปสรรคลง

"เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามไทยมีความล่าช้ากว่าอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่เวียดนามตั้งเป้าสัดส่วนพลังงานสะอาด 51% ในปี 2030 เร็วกว่าของไทยที่กำหนดไว้ปี 2037 (2580) ขณะที่สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และลาว ต่างประกาศเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050 (2593) แต่ไทยยังคงตั้งเป้าในปี 2065 (2608) ช้ากว่าเพื่อนบ้านหลายปี ความแตกต่างนี้อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการซัพพลายเชนสีเขียว และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมของตลาดโลก"
นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อการสูญเสียการลงทุนโดยตรง (FDI) จากกลุ่มลูกค้าเดิม ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐ โดยตั้งแต่ปี 2018-2024 (2561-2567) ประเทศไทยได้รับ FDI รวมมูลค่า 2.15 ล้านล้านบาท มาจากญี่ปุ่น สิงคโปร์และสหรัฐ ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 50% บริษัทจากประเทศเหล่านี้มีเป้าหมายและความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน

นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่า ที่ผ่านมาภาครัฐได้มีการเชิญชวนบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาตั้ง Data Center ในไทย รวมเม็ดเงินลงทุนมากกว่า 618,384 ล้านบาท มีกลุ่มบริษัทที่ประกาศแผนลงทุนชัดเจนแล้ว เช่น กลุ่ม Siam AI, ADVANC, TRUE, FPT คาดการณ์กำลังให้บริการส่วนเพิ่มมากกว่า 240 เมกะวัตต์,
กลุ่มผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ผู้ประกอบการกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ที่ทยอยขอบีโอไอในปี 2024 (2567) เพื่อทยอยลงทุนระยะถัดไป เช่น Ctrl’s, Next DC, Evolution, Supernap, Telehouse, One Asia คาดการณ์กำลังให้บริการส่วนเพิ่มมากกว่า 130 เมกะวัตต์ กลุ่มบริษัทต่างประเทศขนาดใหญ่ เช่น Microsoft Google และ Tiktok ประเมินรายละ 100 เมกะวัตต์
"มีการคาดการณ์ว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าของ Data Center จะเพิ่มขึ้นจาก 0 เมกะวัตต์ในปี 2024 เป็นมากกว่า 5,400 เมกะวัตต์ภายในปี 2036 (2579) ซึ่งภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC สามารถหาทางออก ด้วยการใช้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. EEC) มาเป็นกลไกในการอนุมัติ อนุญาตการสร้างโครงข่ายพลังงานสะอาดใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาให้ภาคธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้"
# กกพ. เดินหน้ารับซื้อไฟฟ้าสะอาดแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออกประกาศปรับปรุงกรอบเวลาการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 ในกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง (No Fuel Cost) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 หลังจาก กกพ.ได้ดำเนินการตรวจสอบขั้นตอนการดำเนินการรับซื่อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ที่มอบหมายให้ กกพ. ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เจรจากับผู้ประกอบการเอกชนที่ได้รับสิทธิขายไฟฟ้ากลุ่ม 2,180 เมกะวัตต์ เพื่อปรับลดอัตราการรับซื้อไฟฟ้าลงให้หมาะส ะได้กำหนดให้เอกชนที่ได้รับการคัดเลือกเร่งลงนามในสัญญาขายไฟฟ้าสะอาด ภายในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา
