
ศาลปกครองสูงสุดสั่งรับคดีฟ้อง กสทช. กรณีละเลยเพิกเฉยกำกับดูแลบริการ OTT ปล่อยให้มีโฆษณาแทรก เอาเปรียบผู้บริโภค สะท้อนสิ่งที่ กสทช.“พิรงรอง” รุกคืบเช็คบิลทรูไอดีก่อนหน้า เป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ค. สำนักงานศาลปกครอง เผยแพร่เอกสารข่าวว่า ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ 541/2568 ในคดีหมายเลขดำที่ 198/2567 หมายเลขแดงที่ 840/2567 โดยมีคำสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำฟ้องในคดีที่ผู้ใช้บริการระบบ OTT ฟ้องว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กับพวกรวม 3 ราย
กรณีละเลยต่อหน้าที่ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ในการกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินกิจการของผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมที่ให้บริการระบบ OTT (Over the Top) มิให้มีการแทรกโฆษณาคั่นการชมรายการโทรทัศน์ที่เป็นบริการทั่วไปที่ผู้ประกอบกิจการนั้นนำสัญญาณมาถ่ายทอดผ่านแอปพลิเคชันของตน ในลักษณะที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ไว้พิจารณาตามรูปคดีต่อไป

โดยศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า การฟ้องคดีนี้เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ตนได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย อันเนื่องจากการกระทำหรืองดเว้นการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม ในการกำกับดูแลการให้บริการโทรทัศน์แบบ OTT ของผู้ประกอบกิจการรายนี้ ซึ่งเป็นกิจการให้บริการการส่งข่าวสารสาธารณะหรือรายการ ไปยังเครื่องรับที่สามารถรับชมและฟังโดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ตหรือหลายระบบรวมกัน
อันเป็นกิจการที่จัดอยู่ในนิยามของคำว่า “กิจการโทรทัศน์” ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ซึ่งบัญญัติว่า “กิจการโทรทัศน์” หมายความว่า กิจการวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรทัศน์ซึ่งให้บริการการส่งข่าวสารสาธารณะหรือรายการไปยังเครื่องรับที่สามารถรับชมและฟังการให้บริการนั้นๆ ได้ ไม่ว่าจะส่งโดยผ่านระบบคลื่นความถี่ ระบบสาย ระบบแสง ระบบแม่เหล็กไฟฟ้าหรือระบบอื่น ระบบใดระบบหนึ่ง หรือหลายระบบรวมกัน หรือกิจการอื่นทำนองเดียวกันที่ กสทช. กำหนดให้เป็นกิจการโทรทัศน์
กรณีจึงเป็นการฟ้องคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
โดยผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กำหนดหลักเกณฑ์และดำเนินการกำกับดูแลกิจการให้บริการแพร่ภาพผ่านอินเตอร์เน็ตหรือโครงข่ายอื่นที่ไม่ใช่โครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์แบบดั้งเดิม (Over the Top หรือ OTT) และดำเนินการกำกับดูแลกิจการดังกล่าวเพื่อมิให้เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคโดยอาศัยการแทรกโฆษณาระหว่างชมรายการ รวมทั้งให้ผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์แบบ OTT ต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เพื่อให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

การแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหายตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี จึงต้องมีคำบังคับโดยการสั่งให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลกำหนด ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง และโดยที่การฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องคดีโดยมีข้อหาหลักว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามละเลยต่อหน้าที่ในการออกหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลการให้บริการโทรทัศน์แบบ OTT
และไม่กำกับดูแลการประกอบกิจการดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่ เพื่อมิให้มีการเอาเปรียบผู้บริโภคโดยอาศัยการใช้เครือข่ายบริการโทรทัศน์เพื่อการโฆษณา อันมีลักษณะเป็นการแสวงหากำไรเกินควร
ศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นว่า ผลจากคำพิพากษานี้จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม เพื่อป้องกันมิให้มีการแสวงหาประโยชน์จากผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือสร้างภาระแก่ผู้บริโภคเกินความจำเป็นและป้องกันมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่โดยไม่คำนึงถึงสิทธิของประชาชนทั่วไป
กรณีถือได้ว่าเป็นการฟ้องคดีปกครองที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นฟ้องคดีเมื่อใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ศาลปกครองสูงสุด จึงมีคำสั่งให้รับคำฟ้องไว้พิจารณาตามรูปคดีต่อไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นาย น. ผู้ใช้บริการรับชมรายการโทรทัศน์ที่แพร่ภาพและเสียงบนอินเตอร์เน็ต (Over The Top หรือ OTT) ผ่านแอปพลิเคชัน ยื่นฟ้องคณะกรรมการ กสทช. เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ต่อศาลปกครองชั้นต้น ว่า
ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการที่ผู้ประกอบกิจการแอปพลิเคชันให้บริการโทรทัศน์ ผ่านโครงข่ายอื่นที่ไม่ใช่โครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์แบบดั้งเดิม (Over the Top หรือ OTT) แพร่ภาพรายการของช่องโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไปบนแอปพลิเคชันของตน โดยผู้ฟ้องคดีและผู้ใช้บริการต้องดูโฆษณาก่อนและระหว่างการรับชมเนื้อหารายการ

ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 27 และมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าว ล่าช้าเกินสมควร โดยไม่กำหนดหลักเกณฑ์การประกอบกิจการให้บริการโทรทัศน์แบบ OTT
และไม่ดำเนินการกำกับดูแลการประกอบกิจการดังกล่าว เป็นเหตุให้ผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ระบบ OTT ปิดกั้นช่องทางการรับชมภาพและเสียงอย่างต่อเนื่อง จากช่องโทรทัศน์ที่เป็นบริการทั่วไปที่นำมาแพร่ภาพบนแอปพลิเคชันของตน โดยศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา