หมดหน้าตักยื้อราคาพลังงาน?
…
เรื่องของค่าไฟผันแปรอัตโนมัติ หรือค่า FT ที่ นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกมาส่งสัญญาณล่าสุดว่า ค่า FT ในระยะต่อไปงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. และงวด ก.ย.-ธ.ค. 2567 ไม่น่าจะมีราคาต่ำกว่า 4.20 บาทต่อหน่วย เทียบกับงวดจัดเก็บในปัจจุบัน (เดือน ม.ค.-เม.ย. 67) ในอัตรา 4.18 บาทต่อหน่วย เพราะต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตยังคงมีราคาผันผวนอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับที่ผ่านมา กกพ. ได้งัดมาตรการต่างๆ ในอันที่จะตรึงค่า FT จนหมดหน้าตักแล้วไม่เหลือมาตรการอะไรจะงัดออกมายับยั้งไม่ให้ค่าไฟฟ้าห้อตะบึงตามราคาตลาดโลกแล้ว การจัดสรรวัตถุดิบก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าไม่ต้องถูกมัดรวมไปอยู่ในระบบ Pool Gas หรือให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ แบกรับภาระค่าเชื้อเพลิงจากการตรึงค่าไฟ ก็ทำไปสุดซอยแล้ว ขอดเกล็ดค่าปรับ Short Fall จาก ปตท. ที่ไม่สามารถส่งมอบก๊าซป้อนโรงไฟฟ้าได้ตามสัญญาหรือก็หมดไปแล้ว
แนวโน้มจากนี้ไปจึงขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลจะยังให้ กฟผ. เข้าไปแบกรับภาระหนี้แทนประชาชนต่อไป หรือจะยอมเฉือนภาษีมาโอบอุ้มประชาชนกลุ่มเปราะบางเอาไว้ จะแค่ไหนอย่างไรนั้น ก็คงต้องไปว่ากันในอนาคต…
แต่หากไม่มีอะไรเข้ามาชดเชย โอกาสที่ค่า FT งวดใหม่จะปรับตัวขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นั้นมีแน่ แถมไม่ได้ทะยานขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว จ่อจะทอดยาวแบบยั่งยืนเสียด้วย
เว้นเสียแต่ว่ากระทรวงพลังงานและรัฐบาลจะกล้า “ลุยไฟ” นโยบายปรับโครงสร้างพลังงาน ทลายกำแพงผูกขาดระบบสายส่งและโครงสร้างการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้ประชาชนกันไปให้ “สุดซอย” อย่างที่หลายฝ่ายฝากความหวังเอาไว้กับรัฐบาล ถึงจะทำให้ค่าไฟฟ้าในมือประชาชนลดลงไปได้บ้าง จากการแข่งขันและการเปิดเสรีมิเตอร์ไฟฟ้าเช่นในต่างประเทศ
ก็แบบเดียวกับการเปิดเสรีกิจการสื่อสารโทรคมนาคมนั่นแหล่ะ แต่นั่นคงเผชิญกับแรงเสียดทานอย่างหนัก ทั้งจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ และ 2 การไฟฟ้า กฟน.-กฟภ. ที่คงจะยืนยันนั่งยันว่า เปิดเสรีมิเตอร์ เปิดให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเข้ามาแข่งขันจำหน่ายไฟตรงให้กับประชาชนไม่ได้เด็ดขาด เพราะกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
เอาแค่ กกพ. และกระทรวงพลังงานตั้งโต๊ะรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด พลังงานสีเขียว อย่างแสงอาทิตย์ “โซลาร์ฟาร์ม” พลังงานลม ก๊าซชีวภาพ 5,200 เมกกะวัตต์ เมื่อปลายปี 65 และอีก 3,600 เมก ในปี 2566 ที่ผ่านมา รวมทั้งเพิ่มการนำเข้าไฟฟ้าจากเขื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว เพื่อกระจายความเสี่ยงสร้างสมดุลด้านการผลิตและจัดหาไฟฟ้า ก็ยังถูกถล่มไม่รู้เหนือรู้ใต้
เพียงเพราะในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าที่ยื่นเสนอตัวและทำสัญญาขายไฟให้กับ กฟผ. มีชื่อ “กลุ่มทุนพลังงาน” เลื่องชื่อรวมอยู่ด้วยเท่านั้น จึงทำให้ถูกยัดข้อหารัฐบาลอุ้มกลุ่มทุนพลังงาน มีการโหมกระพือ กฟผ. ถูกบอนไซจากนโยบายรัฐที่สนับสนุนเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้า ผ่านนโยบาย IPP SPP VSPP หรือแม้แต่การจัดซื้อไฟจากโครงการต่าง ๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ล้วนทำให้ กฟผ. ถูกบอนไซจนสัดส่วนการผลิตไฟของ กฟผ. ในปัจจุบันลดลงเหลืออยู่ไม่ถึง 34% แล้ว
และทำให้ค่าไฟแพงจากการที่สำรองไฟฟ้า Reserve Margin ของประเทศสูงมากกว่า 50% ทั้งที่กรณีจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานสีเขียวเหล่านี้ คือหนทางลดภาระจากการที่รัฐต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่ายไปให้กับโรงไฟฟ้าไปนับพันล้านบาท และยังทำให้ประเทศก้าวสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality อีกด้วย
ยิ่งหากไปดูไส้ในราคาค่าไฟที่ กกพ. และ กฟผ. ทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเหล่านี้ จะยิ่งเห็นได้ว่าอัตราค่าไฟฟ้าที่รับซื้อตามสัญญานั้นอยู่ในระดับต่ำ อย่างพลังงานชีวภาพหน่วยละ 2.07 บาท พลังงานลม 3.1014 บาท โซลาร์ฟาร์มหน่วยละ 2.1679 บาท หรือเฉลี่ยเพียง 2 บาทเศษเท่านั้น แต่เมื่อต้องจำหน่ายผ่านระบบสายส่ง กฟผ. และระบบจำหน่ายของ 2 การไฟฟ้า (กฟน.-กฟภ.) และบวกเงินเรียกเก็บเข้ากองทุนอะไรต่อมิอะไรเข้าไป ราคาค่าไฟที่ถูกส่งผ่านไปถึงมือประชาชน มันจึงทะลักไปถึง 4.95 หรือเกือบ 5 บาทต่อหน่วย (ตามรายงานของกฟผ.)
ทั้งที่หากแยกระบบสายส่ง และระบบจำหน่ายไฟออกมาจัดโครงสร้างใหม่ เพื่อเปิดทางให้ผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถจำหน่ายไฟตรงไปยังประชาชนผู้ใช้บริการ หรือภาคธุรกิจ เพื่อให้เกิดความเหมาะสม จัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงานขึ้นมาบริหารระบบสายส่งและระบบการจำหน่ายไฟฟ้าสู่ชุมชนหรือภาคประชาชนให้เกิดความเป็นธรรมประเภทใครใช้-ใครจ่าย แบบเดียวกับระบบการเติมน้ำมันอากาศยานในสนามบินสุวรรณภูมิหรือดอนเมืองของ บริษัทบริการเชื้อเพลิงการบิน จำกัด(มหาชน) หรือ บาฟส์ Bafs ในปัจจุบัน
ก็ลองปฏิรูปพลังงานไปให้สุดซอย “ปลดล็อค” ระบบสายส่งออกมาจากอ้อมอก กฟผ. จัดตั้งองค์กรรัฐใดขึ้นมาบริหารจัดการระบบสายส่งและระบบขายไฟฟ้าสู่มือประชาชนผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม ใครใช้-ใครจ่ายอย่างที่เครือข่ายพลังงานทั้งหลายเพรียกหากันมาก่อนหน้า
ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้น เราอาจเห็นกลุ่มนักลงทุนจีนกระโดดเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ ในการลงทุนระบบสายส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้าสู่มือประชาชนและชุมชนก็ได้ ผลจะเป็นอย่างไรนั้นทุกฝ่ายต่างรู้กันอยู่ ธุรกิจใดที่กลุ่มทุนจีนแห่เข้าไปลงทุนนั้นมีหรือมันจะแพงเว่อร์กว่าที่เป็นอยู่ จริงไม่จริง!!!