
ถึงเวลาล้างบาง กสทช. หรือยัง?
…
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลพวงจากการปรับเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมือง มาเป็น "นายกฯ หนู - อนุทิน ชาญวีรกุล" แห่งพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่แม้จะมีเป้าหมายให้เป็นเพียงรัฐบาล "ขัดตาทัพ" เข้ามาทำหน้า "ยุบสภา" ภายใน 4-5 เดือน หลังจัดทำกระบวนการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วเสร็จนั้น
วันนี้รัฐบาลภูมิใจไทยทำท่าจะผงาดขึ้นไปเป็นรัฐบาลที่มีสิทธิ์ "ตีตั๋วยาว" ช้างก็ฉุดไม่อยู่แล้ว
ทั้งจากการตัดสินใจอันฉับไวในการ "ปิดประตูลั่นดาน" เอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ Entertainment Complex ที่แฝงบ่อนกาสิโนไว้ใส้ในที่ได้ใจคนไทยกว่าครึ่งค่อนประเทศ
การดึงคนนอก 5-6 คน ที่ล้วนเป็นมืออาชีพที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจ ทั้งกระทรวงการคลัง พาณิชย์ และพลังงาน
พร้อมเดินเกมเร็วในการปัดฝุ่นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ "คนละครึ่ง" ที่เป็นนโยบายสร้างชื่อในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในอดีตกลับมาลุยเต็มสูบ ปิดฉากนโยบาย "ดิจิทัล วอลเลต" ของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ในอดีตที่เต็มไปด้วยปัญหาไปโดยสิ้นเชิง!
ทำเอาภาพพจน์ของรัฐบาลนายอนุทินโดดเด่น กลายเป็นความหวังของการฟื้นฟูเศรษฐกิจขึ้นมาทันที
นี่หากนายกอนุทินได้ "ปัดฝุ่น" เอาคดีความในหน่วยงานของรัฐ อย่างกรณีการซื้อตึก Skyy9 สูงลิ่ว7,000 ล้านของสำนักงานประกันสังคม ที่ "น้องไอซ์-รักชนก" เคยออกมากระซวกอย่างถึงพริกถึงขิง
รวมทั้งกรณีการก่อสร้างตึกร้างที่ทำการแห่งใหม่ของ "สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ" (กสทช.) มูลค่ากว่า 2,600 ล้าน ที่ถูกปล่อย "ทิ้งร้าง" ผลาญเม็ดเงินภาษีประชาชนไปโดยไม่มีใครรับผิดชอบ ก็เชื่อแน่ว่าจะทำให้รัฐบาลภูมิใจไทยผงาดขึ้นมาเป็นรัฐบาลขวัญใจประชาชนได้อย่างไม่ยากเย็น

หากนายกฯ อนุทิน จะสร้างผลงาน "ชิ้นโบแดง" ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใคร นอกจากประชาชนอย่างที่เคยประกาศ ก็น่าจะถือโอากาสนี้ "ล้างบาง" เรื่องที่หมักหมมซุกอยู่ใต้พรมหน่วยงาน กสทช.นี้ไปด้วยเสียเลย โดยเฉพาะกรณีการขาดคุณสมบัติของ "ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์" ประธาน กสทช. และกรณีการสรรหาและแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ที่ว่างเว้นมานานกว่า 5 ปี โดยที่ "รักษาการเลขาธิการ กสทช." ในปัจจุบันเองก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า พ้นสภาพจากความเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ กสทช. อยู่หรือไม่

กรณีคุณสมบัติของประธาน กสทช. นั้น มีบทสรุปที่ชัดเจนจาก คณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการโทรคมนาคม (ไอซีที) วุฒิสภา ที่ได้สรุปผลการสอบข้อเท็จจริง และนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภาครั้งที่ 16/2567 เมื่อ 5 กรกฎาคม 2567
สรุปได้ว่า “ศาสตราจารย์ คลินิก นพ.สรณฯ มีลักษณะเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ตาม พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 7 ข (12) มาตรา 4 และมาตรา 26 ประกอบมาตรา 18 และมาตรา 20”
ทั้งยังมีรายงานจาก คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายรังสิมันต์ โรม เป็นประธาน ที่ยืนยันว่า ประธาน กสทช.นั้น ขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว แต่ยังคงดำรงตำแหน่งมาอย่างต่อเนื่องกระทั่งปัจจุบันร่วม 3 ปี แม้นักวิชาการ องค์กรและ สมาคมต่างๆ จะมีการทักท้วงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับองค์กรจากการอนุมัติต่างๆ ของประธาน กสทช.

ทั้ง 2-3 กรณีข้างต้นนั้น กล่าวได้ว่า ท่านนายกฯ ไม่ต้องตั้งคณะกรรมการชุดไหนขึ้นมาตรวจสอบอะไรให้เมื่อยตุ้ม เพราะมีการตรวจสอบกันอย่างถึงพริกถึงขิง มีคำสั่งคำพิพากษาของศาลที่เกี่ยวข้องเป็นประจักษ์ไว้หมด
แต่ที่ผ่านมารัฐบาลเพื่อไทย (พท.) และโดยเฉพาะ "นายกฯ อิ๊ง - แพทองธาร" ไม่กล้าใช้อำนาจล้างบางกรณีอื้อฉาวที่เกิดขึ้น ด้วยนัยว่า มี "มือที่มองไม่เห็น" Invisible Hand ภายในพรรคเองนั้นแหล่ะปกป้องและค้ำชูบุคคลเหล่านี้อยู่!
หากท่านนายกฯ อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม ก็แค่ยกหูกริ๊งเดียวไปสอบถาม "น้องไอซ์-รักชนก ศรีนอก" แห่งพรรคประชาชน (ปชน.) รวมทั้งนายรังสิมันต์ โรม แห่งพรรค ปชน. ที่ยอมเทโหวตให้ท่านก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ ที่เกาะติดและเคยตรวจสอบกรณีอื้อฉาวภายในองค์กร กสทช. นี้มาอย่างถึงพริกถึงขิง ทั้งกรณีตึกร้าง กสทช. กรณีการขาดคุณสมบัติของประธานและรักษาการเลขาการ กสทช.
รับรองว่าได้ฟัง "เสียงด่า"ของ "น้องไอซ์-รักชนก" จนฉ่ำหูอย่างแน่นอน!