
วินาทีนี้ แม้ดูรูปการณ์จะพลิกเกมกลับมาอยู่ในมือ"เพื่อไทย(พท.)อีกครั้ง หลังจากแกนนำของพรรคยกทัพไปพบพรรคประชาชน (ปชน.) ยอมรับเงื่อนไข 3 ข้อหลักของพรรคแลกกับการยกมือโหวตให้ "แคนดิเดท" ของพรรค คือ "อ.ชัยเกษม นิติศิริ" ขึ้นเป็นนายกฯ
ปิดประตูลั่นดาน "เสี่ยหนู" ที่เดินเกมโฉ่งฉ่างกระสันจะเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อ "ปิดดีลสางแค้นเก่า" ที่มีกับ พท.
มองไปทางไหนเกมนี้ "เพื่อไทย" ก็มีภาษีดีกว่า เพราะมีเสียงพรรคร่วมเดิมอยู่ในมือ 220-225 เสียงแล้ว ขาดอยู่แค่ 35-40 เสียงของพรรค "กล้าธรรม" (กธ.) ที่แหกคอกดอดไปจับมือกับ "เสี่ยหนู" ก่อนหน้านั้น

เทียบกับ "เสี่ยหนู และ ภท." ที่หากไม่มีเสียง ปชน. ก็มีอยู่แค่ 140-143 เสียงเท่านั้น
แต่เพื่อไทยก็ยังมีทางเลือกจะส่งเทียบเชิญพลังประชารัฐ (พปชร.) และไทยสร้างไทย รวมทั้งพรรคเล็กพรรคน้อยมาเติมเต็มได้อยู่ โดยแทบไม่เสียโควต้าหลักที่พรรคมี
แต่หากวันนี้ ปชน. มีมติเทเสียงมาให้ ก็เชื่อแน่ว่า พรรคกล้าธรรม (กธ.) ของ "ผู้กองแป้ง" ก็พร้อมจะปาดหน้าเข้ามาคุกเข่าอ้อนวอนขออยู่ร่วมชายคาต่อไปทันที (แบบไม่มีเงื่อนไข)
นั่นจะทำให้รัฐบาลเพื่อไทยกลับมามีเสถียรภาพ สามารถจะเดินหน้าบริหารประเทศต่อไปได้เกิน 4-5 เดือนจากที่รับปากไว้กับ ปชน. ได้แน่ แม้จะเผชิญ "แรงเสียดทาน" จาก ปชน. และเครือข่ายกลุ่มหลอมรวมพลังแผ่นดินกู้ชาติกู้แผ่นดินให้น่ารำคาญ
ส่วนการทำ "ประชาพิจารณ์" เพื่อกรุยทางสู่การยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่รับปาก ปชน. จะทำเมื่อไหร่ อย่างไรนั้น ถึงเวลาย่อมสามารถจะลากยาวได้อยู่แล้ว
เพราะเมื่อตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญที่มีทั้ง พท. และ ปชน. ร่วมกันตั้งไข่ ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามครรลอง จะแล้วเสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั่น (ด้วยข้ออ้างสารพัด)
ระหว่างนี้ หากรัฐบาล พท. สามารถ "ปิดจ๊อบ" คิวสอย สว.สีน้ำเงิน 138 คนได้ก่อน ก็ยังสามารถ "ยื้อเวลา" การบริหารประเทศ เพื่อรอการจัดการเลือกตั้ง สว.ชุดใหม่ไปได้อีก

แต่หากไม่สามารถสอย 138 สว.สีน้ำเงินได้ ก็ยังสามารถใช้เงื่อนไขการทำประชาพิจารณ์ตั้ง สสร. ที่ว่านี้เป็น "ระเบิดเวลา" โยนใส่ สว.สีน้ำเงินเอา "นาทีสุดท้าย" ได้อีก
เพราะหากถูกขัดขวาง ถูก สว.สีน้ำเงิน "กระตุกเบรก" ก็สามารถ "ลอยตัว" อ้างได้ว่า เป็นเรื่องของ สว.สีน้ำเงิน และพรรค ภท. ฝ่ายค้านขัดขวาง ที่รัฐบาล "ทำดีที่สุด" แล้ว
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ สำหรับพรรค ปชน. แทบจะไร้ตัวตนไร้ค่า ไม่ต่างจากเจ้าสาวที่ถูกคนรัก "เบี้ยวขันหมาก" และหักอกเอา "ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า"

ดังนั้น "มาลัยเสี่ยงรัก" ของ "น้องไอซ์-ปชน." ที่ต้องโยนเสี่ยงเพื่อเลือก "เจ้าบ่าว" ที่ต้องเลือกอนาคตของตนเองว่า ยังสามารถ "คุมเกม" ได้อยู่ ไม่ให้ถูกเบี้ยวขันหมาก ไม่ถูกเจ้าบ่าว "แหกคอก" ดอดไปเที่ยวสำส่อนไม่เลือกหน้าได้อีกนั่น
"น้องไอซ์-ปชน." ก็ต้องเลือกเจ้าบ่าวอย่าง "เสี่ยหนู-ภท." ที่แม้นจะมีประวัติด่างพร้อยเกลือกกลั้วกัญชาไม่ลืมหูลืมตา แถมยังมีเป้าหมายที่จะเข้ามาสางแค้นเก่า เพื่อ "ปิดจ๊อบ" คดีเขากระโดง และจัดฮั้ว สว. ที่ล้วนแต่เป็น "เผือกร้อน"
แต่ไม่ว่า "รัฐบาลภูมิใจไทย" จะปิดจ๊อบตนเองได้สำเร็จหรือไม่ ก็ไม่ได้ทำให้ "ปชน." โดนร่างแหไปด้วยแน่ ตรงกันข้ามกลับยังสามารถตุนคะแนนนิยมเข้าพกเข้าห่อได้เต็มๆ ด้วยอีก

หากรัฐบาล "เสี่ยหนู-ภท." มุ่งแต่จะ "ปิดจ๊อบ" เขากระโดงและกัญชาเสรีของตนเอง ย่อมเผชิญกับ "แรงเสียดทาน" แรงต้านจากทุกภาคส่วน จนไม่เป็นอันทำงาน ซึ่งนั่นย่อมส่งผลดีต่อ ปชน. ในฐานะผู้หยิบยื่นโอกาสให้แล้ว (แต่มึงทำไม่ได้เอง)
แต่หากรัฐบาล ภท. ปิดจ๊อบประเด็นร้อนของตนสำเร็จ ก็ย่อมเผชิญกับแรงเสียดทาน ทั้งจาก พท. และภาคประชาชนอยู่ดี กลายเป็น "ชนักปักหลัง" ติดตัวของพรรค ภท. ที่ยังไงก็ทำให้ ปชน. ลอยตัวได้
ส่วนประเด็นการทำประชาพิจารณ์เพื่อตั้ง สสร.ยกร่างแก้ไข รธน.ในอนาคตนั่น ด้วยศักยภาพของรัฐบาล ภท. และ สว.สีน้ำเงิน ยังไงเสียก็ "การันตี" ว่า รัฐบาล ภท. ทำได้แน่ และน่าจะเป็นไปตามกรอบเวลาที่วางไว้ด้วยอีก!
เพราะด้วยความเป็นรัฐบาล "เสียงข้างน้อย" ยังไงเสียรัฐบาล ภท. ย่อมไม่กล้าบิดพลิ้วได้แน่ และเมื่อ กมธ.วิสามัญฯ นำเสนอหลักการมายังสภาแล้ว ไม่ว่า "พท." จะเล่นตัวยังไงก็ไม่กล้าขัดขวางเส้นทางการจัดทำประชาพิจารณ์เพื่อตั้ง สสร.กรุยทางไปสู่การแก้ รธน. ได้แน่
เพราะมีผลต่อการหาเสียงเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น
คิดสารตะอย่างนี้แล้ว "มาลัยเสี่ยงรัก" ของ "น้องไอซ์-ปชน." ควรไปอยู่ที่ใคร อดีตคนเคยรักอย่าง "ชัยเกษม" หรือ "พ่อหนุ่มข้างบ้าน" ที่ชื่อ "เสี่ยหนู" ที่แม้จะติดกัญชางอมแงม แต่มีรสนิยมชมชอบการขับเครื่องบิน แถมยังใจสปอตใจถึงพึ่งได้อีกต่างหาก
เอวังด้วยประการหล่ะฉะนี้!!!