
สภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มธ. จัดเสวนา “ย้อนรอยอำนาจ กสทช. หลังมติให้ควบรวมทรู-ดีแทค” โดย ผศ.ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 60 กำหนดให้คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรของประเทศ เพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยมีองค์กรอิสระ กสทช. ที่มีทั้งความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ เท่าเทียม ทั่วถึงทำหน้าที่กำกับดูแลให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยพาะในยุคที่คลื่นมีบทบาทต่อวิถีชีวิตของประชาชนผู้บริโภค

ชี้ กสทช. “ปาหี่” บอนไซอำนาจตนเอง
แต่มติควบรวมธุรกิจ “ทรู-ดีแทค” ของ กสทช. ที่ออกมาล่าสุด ที่ “รับทราบการควบรวมกิจการ” โดย กสทช. เพียง 2 ราย ถือเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากเป็นการลงมติโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่รู้ว่าตัวเองมีอำนาจหรือไม่ โดย กสทช. ไม่เคยหารือองค์กรใดมาก่อน หรือไม่มีองค์กรใดเคยทักท้วงมาก่อนก็พอจะรับได้ แต่กรณีควบรวมฯ ครั้งนี้ กสทช. ได้ตั้งอนุกรรมการมาไม่รู้กี่ชุดทำการศึกษา และทุกชุดต่างมีมติไม่เห็นด้วย
แม้แต่อนุกรรมการด้านกฎหมายยังระบุว่า กสทช. มีอำนาจ และแม้จะหารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เป็นสำนักงานกฎหมายของรัฐบาล คณะกฤษฎีกาก็ชี้ชัดว่า กสทช. มีอำนาจเต็มที่จะใช้ดุลยพินิจตามกฎหมายที่ตนเอง รวมทั้งศาลปกครองเองก็ยังเคยมีคำวินิจฉัยชัดเจน ว่า กสทช. มีอำนาจที่จะพิจารณาอนุมัติ หรือไม่อนุมัติการควบรวมได้ ดังนั้นการที่ กสทช.กลับไม่รับฟังสิ่งเหล่านี้ ไม่ฟังเสียงทักท้วงทั้งหลาย แต่กลับไปอ้างว่าตนเองไม่มีอำนาจพิจารณา จึงถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และทำให้เกิดคำถามว่าเป็นการจงใจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่
ยิ่งเมื่อไปพิจารณามติที่ออกมา 2-2-1 หรือ 3-2 ก็มีปัญหาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อีก เพราะระเบียบการประชุมของ กสทช. ตามข้อ 41(1) นั้น เป็นการประชุมโดยทั่วไปที่หากเสียงก่ำกึ่ง ประธาน กสทช. อาจออกเสียงลงมติซ้ำได้ แต่กรณีนี้ถือเป็นมติพิเศษตามระเบียบการประชุมข้อ 41(2) ที่ต้องใช้มติพิเศษเกินกึ่งหนึ่งของกรรมการที่ร่วมประชุม เมื่อเสียงลงมติที่ออกมามีเพียง 2 เสียง ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จึงถือว่าการพิจารณาดีลควบรวมนี้ต้องตกไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“แต่การที่ประธาน กสทช. กลับไปอ้างระเบียบการประชุมข้อ 41(1) ออกเสียงลงมติซ้ำ จึงถือเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้มติ กสทช. ที่ออกมามีปัญหาไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน ถือเป็นความผิดตามประมวล กม. อาญา มาตรา 157 และกระทำการที่ขัดเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมมมาตรา 236 และ 2654 เข้าข่ายมีพฤติกรรมที่ขัดบทบัญญัติมาตรา 234 และ 235 ของรัฐธรรมนูญฯ จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจะต้องเดินหน้าฟ้องดำเนินการตามกฎหมาย กสทช. ทั้งการฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนมติดังกล่าว รวมทั้งร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ดำเนินคดีอาญาเข้าข่ายจงใจใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฏหมายต่อไป”
ล่ารายชื่อฟ้อง กสทช. ต่อศาล-ป.ป.ช.

นายจิณณะ แย้มอ่วม นักกฏหมายและอนุกรรมการด้านการเงินการธนาคาร สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของการหมายจัดตั้งองค์กรตนเองนั้น ผลที่เกิดขึ้นไม่ได้กระทบต่อตัวเท่านั้น ยังกระทบผลประโยชน์ของชาติด้วย เพราะเมื่อตลาดโทรคมนาคมมีคู่แข่งน้อยลง ผลประโยชน์ของชาติจะถูกผูกขาด ราคาค่าบริการจะถูกผูกขาดตามมา
มติควบรวมทรู-ดีแทค มี 2 มิติกระบวนการก่อนลงมติชอบหรือไม่ และมติที่ออกมาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งก่อนการลงมติในการตั้งที่ปรึกษาอิสระที่ต้องดำเนินการก็มีข่าวเล็ดรอดมาโดยตลอดว่า ขาดคุณสมบัติ ไม่เป็นอิสระจริง มีการชี้นำมาตั้งแต่แรก เมื่อกระบวนการได้มาซึ่งข้อมูลในการพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่แรก กสทช. ก็ไม่ควรจะลงมติตั้งแต่แรก
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาในเรื่องการโอนใบอนุญาต ซึ่งตามกฎหมายจัดตั้ง กสทช. มาตรา 46 ใบอนุญาตเป็นสิทธิเฉพาะตัว แต่กรณีนี้จะมีการโอนใบอนุญาตไปยังบริษัทใหม่ด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาในอนาคตตามมาอย่างมากมาย ประชาชนจะเกิดความสับสนตามมาอย่างแน่นอน
สิ่งที่ กสทช. ต้องตอบคำถามสังคม ก็คือ ประกาศ กสทช. ปี 61 ที่ กสทช. นำมาอ้างในการอนุมัติดีลควบรวมฯ โดยเพียงแต่ “รับทราบ” เท่านั้น ทั้งที่ในหลักเกณฑ์ตามประกาศฉบับเดียวกันระบุเอาไว้ชัด การรายงานการขอควบรวมนั้นถือเป็นการขออนุญาติที่ กสทช. มีอำนาจที่จะพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติอยู่แล้ว ซึ่งทุกองค์กรต่างทักท้วงในเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก แต่การที่ กสทช. เลือกที่จะเดินหน้าอนุมัติดีลควบรวมฯออกไป จึงเท่ากับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งในส่วนของสภาองค์กรของผู้บริโภคกำลังรวบรวมรายชื่อภาคประชาชนเพื่อยื่นฟ้อง กสทช. ต่อศาลปกครอง และ ป.ป.ช.
กตป.รับหนักใจ... ทำได้แค่ติดตาม-ประเมินผล

น.ส.อารีวรรณ จตุทอง กรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค กสทช. (กตป.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา กตป. มีการถกกันภายในถึงกรณีดีลควบรวมกิจการทรู-ดีแทคในครั้งนี้ โดยก่อนหน้าได้เชิญตัวแทนสภาเพื่อผู้บริโภคเข้ามาให้ข้อมูลในเรื่องนี้ และคงจะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะในอีกหลายเวที โดยมุมมองต่อเรื่องนี้เห็นว่า เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทยมาก่อน แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้น กตป. จะได้รวบรวมรายงาน และบรรจุรายละเอียดในเรื่องเหล่านี้ไว้ในการประเมินผลการปฏิบัติงานของ กสทช.เพื่อรายงานกลับไปยัง กสทช.และวุฒิสภาฯต่อไป
อย่างไรก็ตาม กตป.เอง ก็ยังต้องยึดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฯมาตรา 60 โดยจะต้องดูแลให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้คลื่นความถี่และวงจรดาวเทียม และต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันไม่ให้มีการแสวงหาประโยชน์จากประชาชนผู้บริโภคเกินความจำเป็น แต่มันแป็นกรอบการทำงาน หากรัฐหรือเจ้าหน้าที่รับไม่ดำเนินการตามกรอบกฎหมาย ก็คงต้องจัดทำรายงานติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลเพื่อจัดสรรไปยัง กสทช. และรัฐสภา และรายงานต่อประชาชขนต่อไป เพื่อเป็นกระจกสะท้อนภาพให้ กสทช. ได้รับรู้!