
เผยอดีตประธาน กสทช. ร่วมค้านควบรวม “ทรู-ดีแทค” ย้ำ กสทช. ต้องคุมเข้มภายใต้กติกาแข่งขันเสรี เป็นธรรม หวั่นนักลงทุนหันซบเพื่อนบ้าน
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาสตราจารย์ ประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ อดีตประธานกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้ยื่นหนังสือถึง นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ กสทช. เพื่อร่วมให้ความเห็นต่อกรณีควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค โดยระบุว่า กสทช. และคณะทำงาน ต้องพิจารณาการควบรวมกิจการ โดยคำนึงถึงค่าดัชนีการกระจุกตัว (HHI) เป็นสำคัญ ซึ่งนักวิชาการหลายราย รวมถึงสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ให้ข้อมูลว่า การควบรวมกิจการทำให้สภาพตลาดมีการกระจุกตัวสูง จากค่าดัชนี HHI สูงสุด 10,000 จุด คือการผูกขาดรายเดียว การควบรวมกิจการจะทำให้ดัชนี HHI ในตลาดโทรคมนาคมของไทย เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในระดับอันตราย อยู่ที่ 5,032 จุด จาก 3,624 จุด เกินกว่ามาตรฐานของดัชนีที่อยู่ที่ 2,500 จุด ตามที่ กสทช. กำหนดไว้ในประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการควบรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561
ทั้งนี้ บริการโทรคมนาคมจัดเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สำคัญเช่นเดียวกันกับสาธารณูปโภคอื่นๆ กสทช. ควรกำกับดูแล โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ให้บริการในตลาดจะลดลงเหลือ 2 ราย การแข่งขันย่อมลดลง ขณะที่ราคาค่าบริการมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ต่างจากตลาดที่มีผู้ให้บริการ 3 ราย ซึ่งมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด และเข้มข้น ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ต่างงัดกลยุทธ์ทางการตลาดมาต่อสู้ เพื่อช่วงชิงลูกค้า และทำให้ผู้บริการรายเล็กอย่าง บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที ซึ่งถือครองโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่ สามารถประกอบกิจการได้
อย่างไรก็ตาม แม้มุมมองของนักวิชาการ และนักวิเคราะห์ในตลาดทุน จะเห็นด้วยกับการควบรวมกิจการนี้ เพราะเชื่อว่า ผู้ประกอบการที่เหลืออยู่ในตลาดจะได้รับประโยชน์ แต่อีกด้านหนึ่งการประมูลคลื่นความถี่ในแต่ละครั้ง กสทช. มีการกำหนดเพดานการถือครองคลื่นความถี่ว่าผู้รับใบอนุญาตแต่ละราย สามารถเข้าประมูลคลื่นความถี่ได้ไม่เกินกี่ชุด และผู้เข้าประมูลแต่ละรายต้องไม่มีความเกี่ยวโยงกัน เพื่อไม่ให้คลื่นความถี่ถูกถือครองโดยคนกลุ่มเดียว หรือถูกกินรวบ เช่นเดียวกับในอดีตที่มีการกักตุนคลื่นความถี่
“กสทช. ต้องจริงจังกับการกำกับดูแล จัดการกฎเกณฑ์ที่บังคับใช้อยู่ให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรี เป็นธรรม ไม่กีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภค และป้องกันผลกระทบจากการควบรวมกิจการ ที่อาจเกิดขึ้นเช่นเดียวกับ T-Mobile และ Sprint ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจให้ควบรวมกิจการที่แย่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษของสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกัน เพื่อไม่ให้ประเทศเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ อย่างผู้ประกอบกิจการดาวเทียมระดับโลก ที่หันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแทน ทั้งที่กฎเกณฑ์ของไทยเอื้อให้เกิดการค้า และการลงทุน” ศาสตราจารย์ ประสิทธิ์ กล่าว