
องค์กรต่อต้ายคอร์รัปชัน(ประเทศไทย) หรือ ACT เปิดเวทีเสวนาออนไลน์ประเด็นร้อน การประมูลรถไฟทางคู่ความโปร่งใสที่ไม่จริงใจ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยมี ดร.สุเมธ องกิตติคุณ ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) , รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค อดีตกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ , ดร.ประจักษ์ ทรัพย์มณี ผู้สังเกตการณ์โครงการรถไฟรางคู่ และ ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กร์ต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เข้าร่วมเสวนา

ดร.สุเมธ กล่าวว่า ถ้าดูจากข้อมูลที่เผยแพร่โครงการรถไฟรางคู่สายเหนือ - อีสาน นี้ ต้องตอบคำถามสังคมหลายประเด็น ทั้งเรื่องการประมูลและรายละเอียดของการประมูล เรื่องไม่โปร่งใสนั้นต้องมีหลักฐานที่ชี้ชัดว่า มีความไม่โปร่งใส แต่ผลที่ออกมาเป็นอย่างไร น่าจะมีข้อข้องใจที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรต้องออกมาชี้แจงเพิ่มเติม
"ข้อมูลเบื้องต้นที่ทราบกัน คือ ราคาประมูลที่ต่ำกว่าราคากลางเพียงแค่เล็กน้อย ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมา หลายคนพูดถึงข้อมูลว่า การแข่งขันด้านราคาการก่อสร้างเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาความโปร่งใส การแข่งขันด้านราคาเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการของการรถไฟในอดีตการประมูลรางคู่สายใต้ มีการแข่งขันที่สูงกว่านี้ แล้วราคาที่ได้คือถูกลงพอสมควร แต่พอมาเจอรางคู่สายเหนือกับสายอีสาน ซึ่งราคาถูกลงเพียงเล็กน้อยหลายคนก็เลยตั้งคำถาม" ผู้อำนวยการวิจัย TDRI กล่าว

รศ.ดร.ต่อตระกูล กล่าวว่า กฎหมายและรัฐธรรมนูญกำหนดให้โครงการของรัฐทุกโครงการต้องเปิดเผยข้อมูล ต้องรวมถึงข้อมูลที่ประชาชนต้องการทราบ ไม่ใช่ข้อมูลที่รัฐอยากให้รู้หรือตอบก็ตอบไม่ตรง
"ความสำคัญของการประมูลคือให้ความเป็นธรรม การที่มีสัญญา 5 โครงการ และมีบริษัทเข้าประมูล 5 รายพอดี คำตอบ คือ ให้เข้ามาแล้วแต่ไม่มีใครเข้า เขาไม่มายื่นเองจะทำอย่างไร มี 5 งานยื่น 5 รายแล้วไม่มีใครได้ซ้ำ มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ที่จะชนะ 5 รายไม่เหมือนกัน การประมูลต้องให้มีการแข่งขัน ที่ประเทศไทยไม่ให้ต่างชาติเข้ามาก็เพราะผู้รับเหมาเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพล"
"การที่นักประมูลชอบมากที่สุด คือ การล็อคผู้เข้าแข่งขัน ล็อคกันจนเหลือ 2 รายก็มี สมัยก่อน 2 รายนั้นเป็นญาติพี่น้องกัน ที่อยู่เดียวกันเบอร์โทรศัพท์เดียวกัน แต่ปัจจุบันที่เรียกว่า ฮั้วประมูล ไม่มีใครเขาทำแล้ว การให้มีคนเข้าแข่งขันเยอะๆ เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ในฐานะที่ผมเป็นวิศวกรบริหารโครงการ เราก็รู้ว่าถ้าปล่อยให้เข้ามาเสรีเป็นร้อยๆ รายไม่ได้ ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์พอ ถ้าเรายังปล่อยให้มีแค่ 5-6 บริษัท อีกกี่ปีก็ไม่เกิดความเจริญในบริษัทรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทย การประมูลที่ไม่ยุติธรรมทำให้คนรุ่นใหม่ ตั้งใจดีมีวิชาความรู้ มีเทคนิค มีสมองไม่ได้เกิด" รศ.ดร.ต่อตระกูล กล่าว

ในขณะที่ ดร.ประจักษ์ กล่าวว่า ในฐานะผู้สังเกตการณ์ต้องตอบว่า โปร่งใสภายใต้กรอบนโยบายที่ทางกระทรวงจัดทำมาให้การรถไฟแห่งประเทศไทยทำ แต่การกำหนดกรอบมีปัญหา ทำให้เกิดการตัดไม่ให้มีผู้เข้าร่วมประมูลรายย่อยเข้ามาได้
"คณะผู้สังเกตการณ์ได้แจ้งว่าไม่เห็นพ้องด้วยกับเหตุผลที่ รฟท. เปลี่ยนกติกาการประมูล คือ ยกเลิกกติกาที่ทางซูเปอร์บอร์ดของการจัดซื้อจัดจ้างทำไว้ตั้งแต่ปี 2560 ว่าให้แยกงานออกเป็นงานย่อยๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กขนาดกลางเข้าร่วมได้ แต่ TOR นี้ไปรวบงานโยธา ระบบราง และระบบอาณัติสัญญาณเข้าด้วยกัน ทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางหรือแม้แต่รายใหญ่ก็เข้าร่วมไม่ได้ ต้องเฉพาะผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งก็มีอยู่เพียง 5 รายเท่านั้น ทำให้ประเทศไทยถูกผูกขาดอยู่เพียง 5-6 บริษัทใหญ่ๆ เท่านั้นเอง อย่างที่ 2 คือ ที่กระทรวงกำหนดเลยว่า Thai First เพราะเป็นโครงการที่ใช้เงินกู้ภายในประเทศต้องให้บริษัทไทยเท่านั้นเข้าประมูล เราไม่เห็นด้วย กับการกีดกันบริษัทต่างชาติเข้ามา ทำให้ไม่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยน TOR รวบระบบราง ทำให้มีผู้ประมูลเพียง 5 สัญญา" ดร.ประจักษ์ กล่าวและว่า
การกำหนดราคากลางส่วนใหญ่ในโครงการรัฐ จะสำรวจเส้นทางและโหวตราคาเพิ่มกำหนดงบประมาณให้สูง โดยไม่มีใครไปดูว่าตรงตามสัญญาที่ระบุหรือไม่ เช่น ระบุว่าบริเวณนี้มีสะพานแต่ถ้าไปดู กลับไม่มีแม่น้ำ เมื่อปฏิบัติจริงๆ แล้วเงินจะเหลือ โดยหลักก็คือ จะต้องคืนรัฐบาล แต่วิธีการคือมีการเปลี่ยนแปลงแบบก่อสร้าง เช่น บอกว่าประชาชนร้องขอให้ทำสะพาน ทำถนนลอด บางโครงการใช้เงิน 400 ล้านบาทก็มี แค่ทำแบบมาขออนุมัติจากรถไฟ สามารถก่อสร้างได้เลย ปัญหาคือมันคุ้มค่าหรือไม่ มีทางเลือกอื่นหรือไม่

ด้าน ดร.มานะ กล่าวว่า โครงการนี้ดูเหมือนจะโปร่งใสแต่อยู่ภายใต้กรอบของนักการเมือง กรอบกระทรวงคมนาคม แล้วหน่วยงานต้องปฏิบัติ เมื่อการรถไฟทำก็บอกว่าเป็นไปตามกรอบกระทรวง โปร่งใส ถูกต้อง ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้เป็นโครงการที่อื้อฉาวและถูกตั้งคำถามมากที่สุดของการรถไฟ ทำไมสังคมจึงตั้งคำถามมาก กติกาในการประมูล ข้อมูลที่ให้สังคมรับรู้เกิดอะไรขึ้น
"การที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกว่า จะทำให้ประเทศไทยปลอดคอร์รัปชัน ทำให้การปลอดคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเห็น การจัดซื้อจัดจ้าง ให้สิทธิสัมปทาน ต้องใช้ข้อตกลงคุณธรรม เดือนที่แล้วยังเห็นรัฐบาลถอดร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร หลังจากที่ภาคประชาชนชี้ว่า ไม่ถูกต้องหลายๆ อย่างและขัดต่อการปฏิรูปประเทศที่วางแผนไว้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรรมนูญมาตรา 144 และ 185 นี่เป็นการหยุดการคอร์รัปชันที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นหากยังเป็นประเด็นใหญ่ที่สังคมคลางแคลงใจ คนข้องใจว่ายังไม่เปิดเผย ไม่ทำอะไรตรงไปมา อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าไม่มีการโกง"
"โครงการใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่แค่คนไทยเห็น ต่างชาติก็เห็น ถ้าคอร์รัปชันขนาดใหญ่ เสียงประชาชนทักท้วงกันมากมาย สื่อมวลชนทักท้วง นักวิชาการทักท้วงใครๆ ก็พูดแล้ว ยังปล่อยเลยตามเลยให้ออกไปได้ มันจะทำให้ต่างชาติหรือนักลงทุนใหญ่เขาตั้งข้อสงสัยว่า ประเทศไทยมีมาตรฐานการลงทุนอย่างไร ถ้าเข้ามาจะเชื่อมั่นเรื่องความโปร่งใสตรงไปตรงมาได้อย่างไร
สิ่งที่ตามมา คือ เสียภาพลักษณ์ของประเทศ เมื่อจัดอันดับประเทศที่คอร์รัปชันระดับโลกแล้ว อันดับตกก็อย่าไปร้องแรกแหกกระเชอ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐกระทำ เราไม่อยากให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อรัฐบาล เพราะประชาชนคาดหวังตลอดว่ารัฐบาลที่เข้ามาจะปราบปรามคอร์รัปชัน อยากให้รัฐบาลทั้งคณะได้ฟังแล้วใช้อำนาจในการควบคุมทำให้เป็นที่ยอมรับของสังคม" เลขาธิการองค์กร์ต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าว


