
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2564 รศ. พญ. ประภาพร พิสิษฐ์กุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบภูมิคุ้มกัน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้โพสต์เฟสบุ๊กเกี่ยวกับคุณภาพวัคซีนซิโนแวค ที่พบว่า ภูมิคุ้มกันลดต่ำลง และไม่สามารถป้องกันการกันติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กลายพันธุ์ มีดังนี้
เมื่อ Immunologist (แพทย์ระบบภูมิคุ้มกัน) ติด Covid มีเวลาแล้วค่ะ 14 วัน ใช่ค่ะ I got both Sinovac and Covid ค่ะ
จริงๆ แล้ว คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครเขียนถึงประสบการณ์การติดเชื้อโควิดลง public เพราะว่าอาจมีผลต่อหน้าที่การงานของแต่ละท่าน แต่ส่วนตัวขอแสดงความคิดเห็นในฐานะแพทย์ระบบภูมิคุ้มกัน ครูบาอาจารย์ และผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิดนะคะ (ยาวหน่อยนะคะ) โดยมีจุดประสงค์ว่า ข้อมูลที่เล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพของทุกคน และแสดงข้อมูลที่เป็นจริง (มีคนบอกให้เขียนเคสรีพอร์ต) ขอให้ทุกคนตระหนักและมีสติมากๆ ค่ะ
การที่เราเป็นทั้งแพทย์และนักวิจัยและอาจารย์ ส่วนตัวมักจะสอนให้นักเรียนคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลและให้ตั้งคำถาม และอย่าเชื่อทุกสิ่งที่ครูสอน (ถ้ามันไม่ logic) ให้ค้นคว้าหาความรู้ (www) และถ้ารู้มากกว่าครูให้กลับมาเล่าให้ฟังด้วย
โดยทั่วไป นศพ.จะถามแค่ว่า “ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร“ ในเวลาซักประวัติผู้ป่วย
แต่คำถามสุดท้ายที่ไม่ค่อยถามกัน คือ “ทำไม” ซึ่งในหลายๆ สถานการณ์ถ้าเราเข้าใจว่า ทำไมถึงเกิดสิ่งนี้ขึ้น เราจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยการถามว่า ทำไมนั้นเป็นการถามในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อแก้ปัญหามากกว่าจะตามหาคนผิด
โดยส่วนตัวคิดว่า เด็กๆ ไม่ค่อยได้ถูกอนุญาตให้ตั้งคำถามว่า “ทำไม” มาตั้งแต่ในโรงเรียน เลยคิดว่า ไม่มี option นี้ให้ตั้งคำถามได้
กลับมาสู่เรื่องของเรากัน
ดังนั้น ในฐานะแพทย์ระบบภูมิคุ้มกันเลยได้ทำการตรวจหาภูมิคุ้มกัน Neutralizing antibody ของตัวเอง เพื่อจะได้เข้าใจระบบภูมิคุ้มกันของตัวเองต่อการตอบสนองต่อวัคซีน (การไม่มีคำแนะนำว่าตรวจภูมิคุ้มกันแค่ไหนถึงป้องกันได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ควรจะตรวจ เพราะว่าถ้าไม่ตรวจและเก็บข้อมูลก็จะไม่มีวันรู้สักทีว่า ระดับเท่าไหร่ถึงจะพอจะป้องกันได้)
ดังนั้น หลังฉีดวัคซีน Sinovac ครบที่ 2 สัปดาห์ ตัวเองก็ได้ตรวจระดับ NAb ซึ่งก็สูงถึง 92.9% แต่พอติดตามไปหลังฉีดวัคซีนครบที่ 2 เดือน ค่า NAb ลดลงมาเหลือ 65.7% และในช่วงที่ค่า NAb 65.7% ก็เป็นช่วงที่ตรวจ COVID-19 detected ที่ Ct 18
โดยคาดว่า การติดเชื้อนี้ได้มาจากการ Contact positive case ในห้องแล๊ป เย็น อากาศปิด นานประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ในขณะที่ตัวเองใส่ N95 ค่ะ ใช่ค่ะ N95 (แต่ no Faceshield) และก่อนหน้าที่จะเข้าไปใช้ห้องแล๊ปนี้ มีคนที่มาใช้เครื่องมือที่มีอาการไอค่อนข้างมากอยู่ก่อน และจากการได้รับอาหารมาจากเคสที่บวกเหมือนกัน แล้วไปแยกนั่งกินกันคนละห้องกัน ข้อสำคัญ คือ เคสที่บวกด้วยกันก็ฉีด Sinovac ครบ 2 เข็มเรียบร้อย และเช็ค NAb อยู่ที่ 60.04%
สิ่งเหล่านี้บอกอะไรเราบ้าง
บอกว่า COVID 19 รอบนี้ติดง่ายมากๆ ค่ะ คนที่ฉีดวัคซีนครบทั้งสอง คนที่มีภูมิคุ้มกันขึ้นทั้งคู่ก็สามารถติดเชื้อได้ หรือแพร่ให้กันได้ หรือในที่อากาศปิดเย็นที่เคยมีคนติดโควิดแพร่เชื้อไว้ก็ยังสามารถติดได้
real world data (ประสบการณ์ตรง) ที่เมื่อฉีด Sinovac ไปเพียง 2 เดือน ก็มีภูมิคุ้มกันที่ลดลง (ซึ่งไม่ถึงกับหายไปเลยนะคะ ก็แค่ลดลง 30%)
แต่ก็ต่ำพอที่จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์กลายพันธุ์ได้ค่ะ (คิดว่าเราน่าจะโดนสายพันธุ์ Delta แน่ๆ เลย)
ดังนั้น Sinovac ไม่กันติดเชื้อนะคะ confirmed กับ real world data อื่นๆ ทั้งในและนอกประเทศ
ส่วนตัวขอแนะนำให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนตั้งการ์ดสูงๆ เข้าไว้ ใครที่ฉีด Sinovac ไป 2 เดือนแล้ว ภูมิคุ้มกันคงเริ่มลงแล้วค่ะ (ตัวเองฉีดครบหลังสงกรานต์ค่ะ) พยายามตรวจคนไข้ Telemedicine ให้มากเท่าที่จะทำได้นะคะ และแนะนำใส่ N95 ตรวจคนไข้ในห้องแอร์ Faceshield ด้วยก็ดีนะคะ ส่วนคนอื่นๆ work from home ได้ทำนะคะ ตัวเองอยาก Work from home มากกกกก แต่ด้วยลักษณะงานทำให้ไม่สามารถทำได้
แล้ว Sinovac กันอาการรุนแรงได้ไหม (เพราะดูจากค่า Ct ที่ 18 ก็แสดงว่า ปริมาณเชื้อในตัวเราก็น่าจะเยอะพอควรค่ะ) อันนี้จะมาเล่าให้ฟังครั้งหน้าว่า อาการเราเป็นอย่างไร (ถ้ารอดมาได้นะคะ 555)
Back to basic immunology อีกครั้ง
การที่จะหยุดการระบาดก็จะต้องเกิดจากการมี Herd immunity โดยสามารถเกิดได้ 2 ทาง
1. จากวัคซีน ซึ่งก็ต้องใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพและฉีดให้ทั่วถึง หรือ
2. ให้ติดเชื้อกันให้หมด เป็น natural selection process ใครมีสุขภาพดีภูมิคุ้มกันดีก็อยู่รอด หรืออ่อนแอก็พ่ายแพ้ไป
เราจะเลือกจะอยู่กันแบบไหน
สุดท้ายอยากฝากไปถึงผู้บริหารประเทศที่มีใจเป็นธรรม และนึกถึงประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์คนไทยด้วยกัน โดยไม่ควรจะคิดถึงเรื่องผลประโยชน์ใดๆ นอกเหนือจากการช่วยชีวิตคนไทยด้วยกัน และช่วยให้บุคคลากรการแพทย์ปลอดภัย โดยให้จัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพดีๆ เข้ามาเถอะค่ะ มาให้พอ มาช้าก็ดีกว่าไม่มาเลย (เข้าใจได้ว่าไปต่อแถวช้า แล้วจะมาแซงคิวขอวัคซีนเขามาก่อน ไม่ใหญ่จริงทำไม่ได้หรอกค่ะ)
แต่ถ้ามาช้าเกินไป เราอาจมี Herd immunity แบบติดเชื้อกันไปเองเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ควร Boost เข็มสามให้บุคคลากรทางการแพทย์เถอะค่ะ ขอ mRNA ที่มีประสิทธิภาพดีๆ หน่อย เพราะว่าถ้า 1 คนป่วยจาก Covid แล้ว ก็มีผลต่อผู้ป่วยโรคอื่นๆ อีกหลายคนเลยค่ะ (ตัวเองคงยังไม่ต้องใช้เข็มสามไปอีกสักพักใหญ่ๆ)
และการจะ Boost Sinovac เข็มสามเพื่อให้ภูมิคุ้มกันขึ้นไปก็ขอให้คิดหนักๆ เพราะก็คงจะ Boost ขึ้นได้ดีจริง แต่ภูมิคุ้มกันจะอยู่นานไหม (ดูจากผลเลือดของตัวเองที่ตรวจเจอว่า หลังเข็มสองก็ขึ้นไปดี 92% แล้ว แต่ก็ตกลงมาอย่างรวดเร็วเมื่อเวลาผ่านไป เพียงแค่ 2 เดือน) และข้อมูลที่ Boost เข็มสามแล้วภูมิคุ้มกันมันอยู่ได้นานเท่าไหร่ก็ยังไม่ทราบ
อย่างไรก็ตาม อาจมีผู้โต้แย้งว่าเข็มแรกคนทั่วไปยังไม่ได้ฉีดเลย เราด้อยค่า Sinovac เกินไปไหม
ก็ขอตอบเลยว่า เราให้ค่าตามจริง Sinovac อาจช่วยให้เราไม่เจ็บหนักไม่ตาย ถ้าไม่มีให้เลือกก็ฉีด Sinovac ค่ะ เราต้องไม่ตายก่อน
แต่ก็ต้องยอมรับว่าสามารถไปแพร่เชื้อต่อให้กับคนอื่นได้อีกนะคะ และการระบาดก็จะไม่หยุด ยกเว้นทุกคนจะติดกันไปหมดซะก่อน โดยเฉพาะถ้าเป็นบุคคลากรทางการแพทย์ที่รับเชื้อก็สามารถไปแพร่เชื้อให้คนป่วยได้ค่ะ
สุดท้ายจริงๆ คือ Sorry for inconvenience สำหรับทุกคนทุกงานที่ต้องยกเลิกหรือเลื่อนและฝากงานนะคะ
ขอบคุณทุกคนมากๆ ค่ะ
ขอให้ Stay Save
ขอบคุณ : คุณหมอประภาพร พิสิษฐ์กุล โรงพยาบาลรามาธิบดี