ยังคงเป็นประเด็นสุดฮอต เป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์
กับเรื่องของ “แก๊งค์ตบทรัพย์” ของกรมสรรพสามิตที่ไปล่อซื้อน้ำส้ม 500 ขวด จากแม่ค้าขายน้ำส้มคั้นบรรจุขวด ก่อนจะตลบหลังแสดงตนว่า เป็นเจ้าหน้าที่จากกรมสรรพสามิตขอตารวจใบอนุญาตประกอบโรงงาน และแจ้งข้อกลาวหาว่า ประกอบกิจการโรงงานผลิตน้ำส้มไม่มีใบอนุญาต ก่อนจะ “ตบทรัพย์” เพื่อไม่ให้มีการดำเนินคดี 12,000 บาท
เมื่อเรื่องแดงขึ้นมาจากการที่แม่ค้าออกมาโพสต์ระบายความอัดอั้นตันใจจากการถูกแก๊งค์ตบทรัพย์ของกรมสรรพสามิต ที่กระทำตนเป็นแก๊งค์นักบินหากินกับความไม่รู้ของผู้คนหาเช้ากินค่ำ ทางกรมสรรพสามิต โดย นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต ได้ออกมาแถลงแก้ต่างไปน้ำขุ่น ๆ ว่า เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตได้เข้าทำการจับกุมผู้ขายน้ำส้มจำนวน 500 ขวด และมีการเรียกค่าปรับเป็นเงิน 12,000 บาทจริง แต่ไม่ได้ตบทรัพย์หรือเรียกรับสินบน เป็นเพียงการให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการโรงงานให้ดำเนินการขอใบอนุญาตประกอบโรงงานผลิตน้ำส้มให้ถูกต้องตาม กม.สรรพสามิตเท่าทนั้น
พร้อมชี้แจงด้วยว่า กรมฯ ได้รับแจ้งเบาะแสจากผู้ประกอบอุตสาหกรรมที่เสียภาษีอย่างถูกต้องว่า มีบางโรงอุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่มที่ไม่ได้มาตรฐาน และยังไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิต จากนั้น กรมฯ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สรรพสามิตเข้าทำการตรวจสอบและได้ดำเนินการให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเข้าระบบและเสียภาษีอย่างถูกต้องแล้ว จำนวน 4 ราย ซึ่งรายนี้เป็นรายที่ 5 โดยโรงอุตสาหกรรมของผู้ใช้เฟซบุ๊ครายดังกล่าว ผลิตเครื่องดื่มที่ไม่ได้มาตรฐานและยังไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิต เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตจึงได้ทำการ “ให้คำแนะนำ” เพื่อให้เข้ามาอยู่ในระบบและเสียภาษีสรรพสามิตอย่างถูกต้อง โดยไม่ได้เรียกค่าปรับเงิน จำนวน 12,000 บาท ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
ทั้งยังแถลงด้วยว่า หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางข้อกังขาจากผู้คน หากแก๊งค์เจ้าหน้าที่กรมเหล่านี้ ไม่ได้ตบทรัพย์ เป็นเพียงเข้าไปให้คำแนะนำ แล้วเงินที่แม่ค้าอ้างว่าถูกรีดไป 12,000 บาท โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพเอาไว้ได้ชัดเจนนั้นคือเงินอะไร เงินค่าแนะนำ หรือเงินค่าปรับ หรือแม่ค้าเสนอให้เป็นสินน้ำใจ?
ย้อนรอย กม.ภาษีสรรพสามิต 60
กรมสรรพสามิต ดีเดย์จัดเก็บ “ภาษีความหวาน” จากเครื่องดื่มเกือบทุกชนิดตามนโยบายรัฐบาลเพื่อให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ได้ปรับสูตรลดปริมาณน้ำตาลเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีของประชาชนมาตั้งแต่ปี 2560
โดยอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในช่วง 2 ปีแรกของกลุ่มเครื่องดื่มน้ำผลไม้ และน้ำพืชผักนั้น หากมีน้ำตาลไม่เกิน 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตรไม่เสียภาษี, หากมีปริมาณน้ำตาลเกิน 6 กรัมแต่ไม่เกิน 8 กรัม ตอเครื่องดื่ม 100 มิลลิลิตรต้องเสียภาษี ในอัตรา 0.30 บาท/ลิตร, หากมีปริมาณน้ำตาลเกิน 10 กรัม แต่ไม่เกิน 14 กรัมเสียภาษีในอัตรา 0.50 บาท/ลิตร, หากมีปริมาณน้ำตาลเกิน 14 กรัม ต่อเครื่องดื่ม 100 มิลลิลิตรต้องเสียภาษี 1 บาท/ลิตร
ก่อนที่จะเพิ่มดีกรีจัดเก็บภาษีในระยะที่ 2 ตั้งแต่ 1 ต.ค.2562-30 ก.ย. 2564 โดยอัตราเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลไม่เกิน 10 กรัมยังคงเดิม แต่อัตราของเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเกิน 10 กรัมต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 4 เท่าตัว ได้แก่กลุ่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 10 กรัม แต่ไม่เกิน 14 กรัมต้องเสียภาษี 1 บาท/ลิตร จากเดิม 0.5 บาท/ลิตร กลุ่มที่ปริมาณน้ำตาลเกิน 14 กรัม แต่ไม่เกิน 18 กรัมต้องเสียภาษี 3 บาท/ลิตรและกลุ่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 18 กรัมต้องเสียภาษี 5 บาท/ลิตร หรือเพิ่มขึ้น 400%
ส่วนระยะที่ 3 จะเพิ่มดีกรีจัดเก็บภาษีความหวานขึ้นไปอีกระลอกตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2564 เป็นต้นไป แต่ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เลื่อนแผนจัดเก็บภาษีความหวานระยะที่ 3 ออกไปตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังออกไปอีก 1 ปี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและช่วยฟื้นฟูเยียวยาผู้ประกอบอุตสาหกรรมเครื่องดื่มจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ทั้งนี้ “เครื่องดื่ม” ที่เข้าข่ายจะต้องเสียภาษีสรรพสามิตตามประกาศนั้น (ดูผังประกอบ) ระบุว่า หมายความว่า (1) สิ่งซึ่งตมมปกติใช้เป็นเครื่องดื่มได้โดยไม่ต้องเจือปน ซึ่งไม่มีแอลกอฮอล์ หรือมีแอลกอฮอล์โดยปริมาตรไม่เกินร้อยละ 0.5 อันบรรจุในภาชนะและผนึกไว้ แต่ไม่รวมถึง
(ก) น้ำ หรือน้ำแร่ตามธรรมาติ
(ข) น้ำกลั่นหรือน้ำกรองสำหรับดื่มโดยไม่ปรุงแต่ง
(ค) เครื่องดื่มซึ่งผู้ผลิตได้ผลิตขึ้นเพื่อขายปลีกเองโดยเฉพาะ อันมิได้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ด้วย ทั้งมิได้สงวนคุณภาพด้วยเครื่องเคมี
(ง) น้ำจืด น้ำนมอื่นๆ ไม่ว่าจะปรุงแต่งหรือไม่ ทั้งนี้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยอาหาร
(จ) เครื่องดื่มซึ่งมีลักษณะเป็นเกล็ดน้ำแข็ง
(ฉ) เครื่องดื่มตามที่รัฐมนตรีกำหนด
กล่าวได้ว่า บรรดาน้ำผัก หรือน้ำผลไม้ทั้งหลาย (ประมาณ 125 ชนิดประเภทตามที่กำหนดไว้แนบท้ายประกาศกรมสรรพสามิตว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเสียภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละศูนย์ สำหรับเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้และน้ำพืชผัก) ล้วนเข้าข่ายที่ต้องเสียภาษีสรรรพสามิตทั้งสิ้น
แต่ผู้ที่จะเข้าข่ายต้องเสียภาษีที่ว่านั้น ต้องเป็น “ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม” หรือผู้นำเข้าเท่านั้น ซึ่งนิยามของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่เข้ามข่ายต้องเสียภาษีนั้น คงต้องไปว่ากันในรายละเอียดอีกชั้นว่า หมายถึงอะไร? พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยทั้งหลายที่ไม่ได้จดทะเบียน หรือขึ้นทะเบียนถือเป็นผู้ประกอบการตามกฎหมายสรรพสามิตหรือไม่ เพราะในกฎหมายนั้นกำหนดเอาไว้ชัดเจนว่าหมายถึง “ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม”
กรณี “ดราม่าแม่ค้าน้ำส้มคั้น” ถูกเจ้าหน้าที่สรรพสามิตหลอกล่อให้ผลิตน้ำส้มคั้น 500 ขวด ก่อนจะตลบหลังรีด/ตบทรัพย์ค่าปรับอะไรที่ว่านั้น เข้าข่ายเป็น “ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม” ตามประกาศสรรพสามิตหรือไม่ คงเป็นเรื่องที่กรมสรรพสามิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งให้ความกระจ่างแก่สังคม
เพราะในความเข้าใจของผู้คนโดยทั่วไป ตราบใดที่ผู้ประกอบการผลิตน้ำผลไม้ น้ำพืชผักเหล่านี้ ใช้แรงงานตัวเองหรือแรงงานในครอบครัว ทำการผลิตน้ำผลไม้หรือน้ำพืชผัก ประเภทช่วยกันต้ม ช่วยกันกรอกบรรจุขวด หรือโหลโดยไม่ได้มีการใช้เครื่องจักรอุตสาหกรรมมาทำการผลิตหรือในกระบวนการผลิต หรืออาจมีหม้อต้ม Boiling ขนาดย่อมภายในครัวเรือนก็ไม่อาจจะตีความได้ว่าเป็น “โรงงาน” หรือ “ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม” หรือเข้าข่ายเป็นโรงงานผลิตดังที่กรมสรรพสามิตกำลังตะแบงยัดเยียดให้อยู่นี้
และถึงแม้จะผลิตกันถึง 500 ขวด/วัน/สัปดาห์ แต่หากตราบใดที่ไม่ได้ใช้เครื่องจักทำการผลิต ยังคงทำการผลิตกันเองภายในครอบครัว ก็ไม่น่าจะถือว่าเข้าข่ายเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมได้
จากแม่ค้าน้ำส้ม..สู่ “คราฟเบียร์ไทย”
ขณะที่กรมสรรพสามิต “ไล่เบี้ย” กวาดต้อนผู้ประกอบการน้ำส้ม หรือน้ำผลไม้และน้ำพืชผักเข้าสู่ระบบที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ปี 2560 แต่ในส่วนของ “ผู้ประกอบการคราฟเบียร์ไทย” ที่มีอยู่นับ 100 นับ 1,000 ราย และพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะขอเข้าสู่ระบบเพื่อเสียภาษีสรรพสามิตอย่างถูกต้อง
แต่กฎกระทรวงการคลังว่าด้วยการผลิตสุรา พ.ศ.2560 ที่กรมสรรพสามิตทำคลอดออกมาพร้อมๆ กับการไล่เก็บภาษีความหวานกลับ “ปิดประตูลั่นดาน” หนทางเกิดของคาราฟเบียร์ไทยไปซะงั้น
ทั้งที่รัฐบาลป่าวประกาศโครม ๆ ๆ ว่าให้การสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของเอสเอ็มอี วิถีชาวบ้าน สนับสนุนกิจการโอท็อป แต่เมื่อพูดถึงการผลิตเบียร์ชุมชน หรือผู้ผลิตเบียร์รายย่อย หรือ “คราฟเบียร์” แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมสรรพสามิตและกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งรัฐบาลเองกลับได้แต่ แบ๊ะ ๆ ๆ ไม่มีคำตอบอะไรให้ อ้างแต่เพียงว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย” นั่นคือใครจะตั้งโรงงานผลิตเบียร์จะต้องจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล ต้องมีกำลังการผลิต 10 ล้านลิตรขึ้นไป มีทุนจดทะเบียน 10 ล้าน มีการนำเข้าเครื่องจักรการผลิต จัดตั้งโรงงานที่ได้มาตรฐานตามที่กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังกำหนด
ทั้งนี้ ประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยเรื่องวิธีการบริหารงานสุรา พ.ศ. 2543 อนุญาตให้มีการทำเบียร์ได้ 2 ประเภท คือ 1. หากเป็นโรงงานขนาดใหญ่ต้องมีปริมาณการผลิตไม่ต่ำกว่า 10 ล้านลิตรต่อปี 2. โรงเบียร์ขนาดเล็กประเภทผลิตเพื่อขาย ณ สถานที่ผลิต (Brew Pub) โดยให้บริโภคภายในพื้นที่ผลิต ไม่อนุญาตให้บรรจุขวดและต้องผลิตในปริมาณขั้นต่ำที่ 1 แสนลิตร แต่ไม่เกิน 1 ล้านลิตรต่อปี (วันละ 300 ลิตร) โดยการผลิตเบียร์ทั้งสองประเภท ผู้ผลิตจะต้องเป็นนิติบุคคลหรือบริษัทที่จดทะเบียนด้วยเงินทุนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท และกลายเป็นข้อจำกัดและอุปสรรคสำคัญที่ผู้ผลิตรายเล็กไม่สามารถแจ้งเกิดได้
ต้องหอบแผนไปผุดโรงงานผลิตหรือจ้างโรงผลิตเบียร์ในประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง กัมพูชาและเวียดนาม หรือสปป.ลาว ทำการผลิตและนำเข้ามาขาย ต้องเสียภาษีให้ประเทศเหล่านั้นชุบมือเปิบไปโดยปริยาย
ก่อนหน้านี้หากจำไม่ผิด เคยเห็นม็อบ “ประชาชนเบียร์” หรือคราฟเบียร์ไทย (Craft Beer) แฝงตัวจัดกิจกรรมอยู่ในกลุ่มม็อบเยาวชนปลดแอกเพื่อป่าวประกาศให้ประชาชนคนไทยได้เห็นความเหลื่อมล้ำของคราฟเบียร์ไทยที่ถูกรัฐบาลชุดแล้วชุดเล่าเอาแต่หมางเมินไม่ให้การสนับสนุน
โดยแกนนำกลุ่มม็อบประชาชนที่ว่า คือ นายธนากร ท้วมเสงี่ยม ผู้ก่อตั้งเพจ “ประชาชนเบียร์” ได้ย้อนรอยให้เห็นรากเหง้าของปัญหาด้านกฎหมายที่กีดกันผู้ประกอบการเบียร์รายเล็ก ทำให้วงการคราฟต์เบียร์ไทยไปไม่เป็นอยู่ในขณะนี้ว่า นอกจากปัญหาข้อกฎหมาย ที่กำหนดให้ผู้ที่คิดจะตั้งโรงเบียร์ต้องมีนเงินทุนนับ 10 ล้านบาท กำหนดกำลังการผลิตจะต้องมากกว่า 1 แสนลิตร ถึง 1 ล้านลิตรต่อปีแล้ว ล่าสุดภาครัฐยังทำคลอดกฎหมายห้ามขายเหล้า-เบียร์ทางออนไลน์ ซ้ำเติมปัญหาให้หนักกว่าเดิมเข้าไปอีก
“เราสามารถทำเบียร์ดื่มเอง ผลิตเบียร์ดี ๆ ได้เอง แต่กฎหมายกลับไม่เปิดช่องให้ทำ ทั้งๆ ที่นักคราฟท์เบียร์ไทยหลายคนนั้น มีฝีมือพัฒนาตัวเองจนนักชิมเบียร์หลายคนเดินทางไปตัดสินเบียร์ในรายการทั่วโลก ต่างเห็นความสามารถของคนไทยที่กล้าและบ้าพอที่จะทำเบียร์ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทุกคนที่ทำเบียร์อยากทำเบียร์ให้มันถูกกฎหมาย แต่กฎหมายที่ตั้งเพดานไว้ว่าคุณต้องมีเงินหลายสิบล้านบาทขึ้นไป ถึงจะทำเบียร์ถูกกฎหมายได้ จึงทำให้ทุกวันนี้ถึงมีไม่กี่คนที่ทำถูกกฎหมายได้ ทั้งๆ ที่การลงทุนทำโรงเบียร์ขนาดเล็กในต่างประเทศ ลงทุนไม่กี่ล้าน แต่ต้องมาเจอกำแพง 10 เท่าจากกฎหมายไทยที่เป็นอุปสรรค”
เห็นแล้วก็ให้สะท้อนไปถึงกรณีเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตตั้งแก๊งค์ไล่ตบทรัพย์ แม่ค้าขายน้ำส้ม ด้วยข้ออ้าง “สุดอัปยศ” ว่าเป็นเพียงเข้าไปให้คำแนะนำการผลิตน้ำส้มให้ถูกต้อง ได้มาตรฐานตามประกาศสรรพสามิตที่ต้องการให้ผู้ประกอบการเสียภาษีให้ถูกต้อง โปร่งใส
แต่กับคราฟเบียร์ไทยและผู้ผลิตสุราชุมชนทั้งหลายแหล่ รัฐบาลและกรมสรรพสามิตกลับตั้งกำแพงสารพัด เพื่อสกัดกั้นผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่ให้เข้าสู่ระบบ ปล่อยให้ตั้งกอบหิ้วไปผลิตเบียร์ไทยในต่างแดน แถมบางยี่ห้อยังได้รางวัลระดับโลกมาแล้วอีก