เมื่อหลายพื้นที่ของโลกเริ่มเปิดพรมแดน จึงมีการโฟกัสไปที่เสรีภาพในการเดินทางและการเคลื่อนที่ทั่วโลกว่าจะเป็นอย่างไรในโลกยุคหลังโควิด-19 โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สหภาพยุโรป (EU) ได้เผยรายชื่อประเทศที่อนุญาตให้เดินทางเข้า EU ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 63 โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์สุขภาพและความปลอดภัยเป็นสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ปกติมีคะแนนสูงใน Henley Passport Index หรือการจัดอันดับพาสปอร์ตทั่วโลก พิจารณาจากจำนวนจุดหมายที่เดินทางเข้าได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า
อย่างไรก็ตาม สืบเนื่องจากการถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการรับมือกับโรคระบาดที่ย่ำแย่ ทำให้สหรัฐฯ ถูกถอดออกจากรายชื่อประเทศที่เดินทางเข้ายุโรปได้ เช่นเดียวกับบราซิลและรัสเซีย
แม้จะไม่ได้สะท้อนในการจัดอันดับล่าสุด ซึ่งปกติแล้วไม่ได้คำนึงถึงคำสั่งห้ามเดินทางชั่วคราว แต่เป็นเรื่องที่เปิดหูเปิดตาว่า เสรีภาพในการเดินทางในปัจจุบันเป็นอย่างไร สำหรับผู้ที่ถือหนังสือเดินทางที่ครั้งหนึ่งเคยทรงเกียรติ โดยปกติแล้วพาสปอร์ตของสหรัฐฯ จะติดทำเนียบท็อป 10 โดยที่ประชาชนสามารถเดินทางไป 185 จุดหมาย โดยไม่ต้องขอวีซ่า
อย่างไรก็ดี ภายใต้มาตรการแบนของ EU ในปัจจุบัน ทำให้ชาวอเมริกันมีเสรีภาพในการเดินทางพอๆ กับพลเมืองอุรุกวัยและเม็กซิโก (อันดับ 28 และ 25 ตามลำดับ)
ส่วนพลเมืองรัสเซีย โดยปกติพาสปอร์ตรัสเซียจะอยู่อันดับสูงกว่าประเทศอย่างจอร์เจียและแอลเบเนีย (ทั้งสองประเทศอยู่ในลิสต์ของ EU) จะเห็นว่าพาสปอร์ตของพวกเขาจัดอยู่ในขั้นอ่อนแอที่สุดชาติหนึ่งในภูมิภาค ขณะที่ผู้ถือหนังสือเดินทางบราซิล ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้อยู่ในอันดับ 19 ของดัชนี ปัจจุบันมีเสรีภาพในการเดินทางพอๆ กับพลเมืองปารากวัยซึ่งอยู่ในอันดับ 36
หากไม่พิจารณามาตรการแบนการเดินทางในปัจจุบัน ญี่ปุ่นยังคงรั้งอันดับ 1 ใน Henley Passport Index ด้วยคะแนน 191 ส่วนสิงคโปร์ยังอยู่ในอันดับ 2 ขณะที่เยอรมนีและเกาหลีใต้ครองอันดับ 3 ร่วม อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ไม่อยู่ในลิสต์ของ EU ดังนั้นชาวสิงคโปร์จึงมีเสรีภาพในการเดินทางน้อยกว่าคู่แข่งที่มีอันดับใกล้ ๆ กันในดัชนีดังกล่าว ซึ่งอาศัยข้อมูลเฉพาะจากสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)
Dr. Christian H. Kaelin ประธาน Henley & Partners และผู้คิดค้นแนวคิดดัชนีหนังสือเดินทางดังกล่าว กล่าวว่า การตัดสินใจล่าสุดของ EU บ่งชี้ว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยุ่งยากขึ้นตามมา “ดูพาสปอร์ตสหรัฐฯเป็นตัวอย่าง โดยเมื่อปี 2014 พาสปอร์ตสหรัฐฯขึ้นแท่นอันดับ 1 ในดัชนีของเรา แต่ปัจจุบันพลเมืองสหรัฐฯมีเสรีภาพในการเดินทางน้อยกว่าพลเมืองประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยส่วนใหญ่ หรือแม้แต่ประเทศที่พัฒนาน้อยกว่าบางประเทศเมื่อเดินทางเข้ายุโรปไม่ได้ ซึ่งในช่วงหลายเดือนข้างหน้า เราจะได้เห็นการจัดอันดับการเดินทางทั่วโลกใหม่ โดยที่ประเทศที่มีการจัดการกับโรคระบาดได้มีประสิทธิภาพจะมีคะแนนนำ ขณะที่ประเทศที่รับมือได้แย่จะมีคะแนนตามหลัง”
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า วิกฤตโควิด-19 น่าจะทำให้การเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศถูกควบคุมมากขึ้นและคาดเดายากยิ่งขึ้นในระยะยาว โดย Prof. Dr. Yossi Harpaz ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ กล่าวว่า “แม้ประเทศต่างๆ จะเปิดพรมแดนแล้ว แต่คาดว่ารัฐบาลของหลายประเทศจะพิจารณาข้อมูลการระบาดของโรค เพื่อออกมาตรการจำกัดการเข้าเมืองและแบนการเดินทางที่เจาะจงสัญชาติ โดยมุ่งเป้าไปที่พลเมืองของประเทศกำลังพัฒนาเป็นหลัก” พร้อมระบุถึงการตัดสินใจล่าสุดของ EU เกี่ยวกับสหรัฐฯและประเทศอื่น ๆ ว่า “พาสปอร์ตของทั้งประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาแล้วมีค่าน้อยลง อย่างน้อยก็ชั่วคราว ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ คาดว่าการถือสองสัญชาติและวีซ่านักลงทุนจะได้รับความต้องการเพิ่มขึ้นทั่วโลก”
Dr. Juerg Steffen ซีอีโอ Henley & Partners กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนและครอบครัวของพวกเขาแล้ว “การมีสัญชาติที่สองหรือมีที่อยู่อาศัยทางเลือกจะเป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามากกว่าแต่ก่อน เมื่อความกังวลเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพชั้นเลิศ การเคลื่อนย้ายทั่วโลก และคุณภาพชีวิตเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่”