
จากผู้อพยพหนีภัยสงครามกลางเมือง สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่เข้ามาขอพึ่งใบบุญไทยพักพิง จัดตั้งเป็น "ศูนย์อพยพ" ก่อนที่ผู้อพยพส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปยังประเทศที่ 3 ขณะที่บางส่วนยังคงปักหลักอยู่ที่เดิม
…
ผืนแผ่นดินไทยบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ที่กำลังระอุแดด เพราะถูกเขมรรุกเข้ามายึดครอง เนื้อที่รวมเกือบ 3,000 ไร่ ตั้งแต่ปี 2522-2526
จากผู้อพยพหนีภัยสงครามกลางเมือง สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่เข้ามาขอพึ่งใบบุญไทยพักพิง จัดตั้งเป็น "ศูนย์อพยพ" ก่อนที่ผู้อพยพส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปยังประเทศที่ 3 ขณะที่บางส่วนยังคงปักหลักอยู่ที่เดิม

แม้สงครามกลางเมืองจะยุติลงไป แต่ผู้คนเหล่านั้นยังคงปักหลักอาศัยอยู่ที่เดิม แถมทยอยนำเอาญาติมิตรเข้ามาตั้งถิ่นฐานกันเพิ่มขึ้น ขยายเป็นชุมชนขนาดใหญ่กว่า 200 ครอบครัว ใหญ่กว่าชุมชนบ้านหนองจานดั้งเดิมเสียอีก
เมื่อเกิดกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาขึ้น แม้จะอยู่ห่างจากพื้นที่แห่งนี้กว่า 250-300 กม. แต่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกัน ทหารกองกำลังบูรพาจึง "กระชับพื้นที่" ด้วยการขึงรั้วลวดหนามเพื่อกั้นอาณาเขตดินแดนประเทศไทย และผลักดันชาวกัมพูชาที่บุกรุกเข้ามาตั้งรกรากอยู่บนผืนแผ่นดินไทย บริเวณบ้านหนองจานที่ว่าออกไป
แต่กลับถูกชาวเขมรลุกฮือกล่าวหาว่า ทหารไทยรุกล้ำดินแดนอธิปไตยของตน ลืมอดีตที่เคยอพยพเข้ามาพึ่งใบบุญไทย ขอตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่แห่งนี้ ถึงขั้นระดมผู้คนบุกเข้ามารื้อทำลายลวดหนาม จนหวิดจะเกิดการปะทะกลายเป็นสงครามขนาดย่อม ๆ ตามมา
นั่นจึงเป็น "น้ำผึ้งหยดเดียว" ที่ทำให้เลือดรักชาติ รักผืนแผ่นดินของคนไทยฉีดพุ่งขึ้นมา ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลไปยังบ้านหนองจาน เพื่อร่วมกันขับไสไล่ส่งชาวเขมรที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณไทยที่เคยให้ข้าวให้น้ำให้ที่พักพิงในช่วงที่ต้องหนีภัยสงคราม พร้อมเรียกร้องให้ทางการไทยและทหารสร้างกำแพงหรือสร้างรั้วถาวรกันเขตแดนไปเลยจะได้ไม่เกิดปัญหาอีก

น่าแปลกไหม? ระยะเวลาแค่ 40 ปี หรือแค่ชั่วอายุคนที่ชาวกัมพูชาอพยพเข้ามาขออาศัยพึ่งพิงไทยเรา เพื่อหลบหนีภัยสงครามกลางเมือง สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศตนมาขอสร้างเพิงพักและที่พักพิงยังพื้นที่แห่งนี้
แต่คนเหล่านี้ นอกจากจะ “ไม่สำนึกบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ไทยหยิบยื่นให้ กลับลุกขึ้นมาชี้หน้าด่ากราดกล่าวหาไทยว่าไปรุกรานแผ่นดินประเทศตน” ด้วยอีก ทั้งที่มีเอกสารหลักฐานเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนว่า ผืนพื้นที่เหล่านี้ตั้งอยู่ในอาณาเขตประเทศไทยชัดแจ้ง
เอาเป็นว่า ขนาดที่ทหารเขมรนำคณะทูตจากนานานาชาติลงพื้นที่เพื่อกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายรุกลานดินแดนของตนนั้น เกิด "โป๊ะแตก" แทบจะ "เงิบแดก" เมื่อคณะทูตไปเจอหลักฐานหลักหมุดปักปันเขตแดนระหว่าง "สยาม-กัมพูชา" ที่มีการปักปันและปักหมุดแสดงอาณาเขตประเทศไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1907 (พ.ศ.2450) โดยตั้งอยู่ใจกลางชุมชนในกลางหมู่บ้านที่อ้างว่าเป็นดินแดนของกัมพูชา

กระนั้นชาวกัมพูชาเหล่านี้ ก็ยังไม่ยอมจำนน ยังไม่ยอมรับว่าผืนแผ่นดินที่ตนอาศัยอยู่ หรือที่อ้างว่าอยู่มาตั้งแต่เกิด 40-50 ปีนั้น เป็นผืนแผ่นดินไทยที่พ่อแม่พี่น้องตนเองอพยพเข้ามาขออาศัยอยู่ เพื่อหลบภัยสงครามกลางเมืองในอดีต
ทั้งที่กาลเวลาเพิ่งจะผ่านมาแค่ชั่วอายุคนเท่านั้น!
เช่นเดียวกับ "ที่ดินหลวงรถไฟ" บริเวณเขากระโดง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ ที่ชาวเมืองบุรีรัมย์ที่ถือโฉนด ถือเอกสารสิทธิ์อ้างว่าตนเองเป็นเจ้าของครอบครองมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่มากว่า 50-60 ปีแล้ว ตั้งแต่กรมที่ดินมีการออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2498
โดยหารู้ไม่ว่า ผืนแผ่นดินเหล่านี้คือ "ที่ดินหลวงรถไฟ" ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "พ่อหลวงรัชกาลที่ 5" ทรงให้ตราพระราชกฤษฎีกาเวนคืนมาใช้ในกิจการรถไฟตั้งแต่ปีมะโว้ พ.ศ.2464 แล้ว หรือกว่า 100 ปีเศษมาแล้ว
และเป็นที่หลวงรถไฟที่มีมาก่อนหน้าที่กรมที่ดินจะตรากฎหมายที่ดิน เพื่อเปิดให้มีการจดแจ้งออกเอกสารสิทธิครอบครองที่ดินทั่วประเทศ รวมทั้งเขากระโดงนั่นถึง 30-35 ปีเสียอีก!
แล้วจะมาบอกว่าการรถไฟฯ มาจดแจ้งอ้างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินเขากระโดงในภายหลังได้อย่างไร ?

ไม่แปลกหรอกที่ชาวเมืองบุรีรัมย์เหล่านี้ จะดาหน้าออกมาอ้างสิทธิตนเองว่า ถือโฉนดหรือถือเอกสารสิทธิ์ในที่ดินเขากระโดงมาอย่างถูกต้อง มีการครอบครองที่ดินแห่งนี้หรือมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันมาตั้ง 50-60 ปีแล้ว
เพราะขนาดชาวกัมพูชาในชุมชนบ้านหนองจานที่อพยพเข้ามาขออาศัย สร้างที่พักพิงในผืนแผ่นดินบ้านหนองจาน แค่ 40-45 ปีก่่อน หรือแค่ชั่วอายุคน ยังเข้าใจเลยว่า ที่ดินที่ตนเองยึดถือครอบครองอยู่นั้นเป็นดินแดนของประเทศตน โดยไม่เคยรับรู้เลยว่า ประวัติศาสตร์ของผืนแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งรกรากของชุมชนที่ตนเองอาศัยอยู่นั้น มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาเป็นไปอย่างไร
แล้ว "ที่ดินหลวงรถไฟ" บริเวณเขากระโดงที่มีการเวนคืนกันไปตั้งแต่ปี 2464-2465 หรือเมื่อกว่า 100 ปีเศษมาแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายชั่วอายุคน จะมีใครในรุ่นหลังรับรู้ถึงประวัติที่มาที่ไปของที่ดินที่มีการตกทอด หรือซื้อ-ขายเปลี่ยนมือกันมาไม่รู้เท่าไหรต่อเท่าไหร่

หากแม้นที่ดินบ้านหนองจานที่่ชาวเขมรบุกรุกเข้ามาครอบครองกินกันแค่ชั่วอายุคน แล้วจะมา "ตีขลุม" อ้างสิทธิ์ว่า เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ เป็นที่ดินของตนดินแดนของตนเช่นนี้ เรายังยอมรับกันไม่ได้
แล้ว "ที่ดินหลวงรถไฟ" บริเวณเขากระโดงที่มีพระราชกฤษฎีกาประกาศเวนคืนให้เป็น "ที่หลวงไฟ" มาตั้งแต่ปี 2464-2465 กว่า 5,000 ไร่นั้น เราจะปล่อยให้คนที่บุกรุกเข้ามายึดถือครอบครองในภายหลัง "ชุบมือเปิบ" ยึดถือครอบครองกันไปด้วยข้ออ้างมีเอกสารสิทธิ์ครอบครองอย่างถูกต้อง
ทั้งที่มุบมิบดำเนินการกันมาอย่างไรในภายหลัง ก็ไม่อาจทราบได้อย่างนั้นหรือ?
แก่งหิน เพิง