
ข้อเสนอหลักจากประเทศไทย
ไทยเสนอให้ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ กว่าหมื่นรายการ ฟังดูน่ากลัว แต่ความจริงแล้ว การเจรจาครั้งนี้อยู่ในระดับเดียวกับ FTA ที่ไทยมีอยู่แล้วทั้งหมด 18 กลุ่ม นอกจากนั้น 64% ของสินค้าที่ไทยเปิดลดภาษีให้สหรัฐฯ นั้น จริงๆ แล้วมีภาษี 0% อยู่แล้ว

และหากพิจารณาประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งทางเศรษฐกิจ ล้วนมีตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน
เกาหลีใต้ 15% (30 กรกฎาคม 2025)
ญี่ปุ่น 15% (23 กรกฎาคม 2025)
ฟิลิปปินส์ 19% (22 กรกฎาคม 2025)
อินโดนีเซีย 19% (22 กรกฎาคม 2025)
เวียดนาม 20% (2 กรกฎาคม 2025)
สำหรับไทย ตัวเลขจบที่ 19% ถือว่าไทยไม่ได้เสียเปรียบ ยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้
การเจรจาครั้งนี้ ประเทศไทยมองว่า เป็นการขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและปรับปรุงกลไกการค้าที่ล้าสมัย-ไม่จำเป็น เพื่อให้ภาครัฐมีประสิทธิภาพในการดำเนินการ และยกเลิกมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs)
ลดภาษีนำเข้า “ยานยนต์” จากสหรัฐฯ
ไทยเสนอลดภาษีนำเข้ายานยนต์จากสหรัฐฯ แต่หากพิจารณาดูแล้ว มูลค่านำเข้านั้นต่ำมาก โดยมีมูลค่าประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ / ปี (เทียบกับมูลค่าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งหมดรวมกว่า 54,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสินค้า เช่น สินค้าเกษตรและอาหาร, ยาและเครื่องมือแพทย์, วัตถุดิบอาหารสัตว์ (ข้าวโพด) และ สินค้าแปรรูปส่งออก (ข้าว, ผัก-ผลไม้, อาหารกระป๋อง)
นำเข้าข้าวโพด : บรรเทาต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรไทย
ต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงในประเทศไทยเรานั้น สืบเนื่องจากไทยผลิตข้าวโพดได้เองไม่เพียงพอ ความต้องการข้าวโพดอยู่ที่ 9–10 ล้านตัน/ปี แต่เราผลิตได้แค่ครึ่งเดียว จึงต้องนำเข้าข้าวโพดจากประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน
การเจรจาเพื่อนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ในครั้งนี้ จึงเป็นเพียงการย้ายฐานการซื้อในจำนวนความต้องการเดิมแต่ราคาถูกกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของเกษตรกรโดยตรง ประโยชน์ทางอ้อม เรายังสามารถลดปัญหา PM2.5 จากการเผาป่าได้อีกด้วย
ผลพลอยได้คือ เนื้อหมู เนื้อไก่ อาหารทะเลจะถูกลง → ผู้บริโภคได้ประโยชน์ → อุตสาหกรรมไทยแข่งขันได้

เกษตรกรไทยยังได้ประโยชน์ในตลาดสหรัฐฯ
สินค้าหลักอย่างข้าวหอมมะลิ ยังได้เปรียบในการส่งออก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นมูลค่ากว่า 32,000 ล้านบาท ซึ่งการเจรจาภาษีครั้งนี้จะช่วยครัวเรือนไทยกว่า 1 ล้านครัวเรือน ของเกษตรกรชาวนา
นอกจากนี้ สินค้าเกษตรแปรรูปอื่นๆ เช่น ผัก ผลไม้ ปลา กุ้ง ก็จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง และโอกาสขยายตลาดอีกด้วย

ธุรกิจ–แรงงานไทย ไปต่อ-แข่งขันได้
ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ รวมมูลค่า 54,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งสร้างการจ้างงานมากกว่า 1.2 ล้านตำแหน่ง และมีผู้ประกอบการไทยที่ได้ประโยชน์โดยตรงกว่า 4,000 ราย (กว่า 3,000 รายเป็น SME)
การเจรจาครั้งนี้ ไทยจะยังรักษาความได้เปรียบในการส่งออกและดึงดูดการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง


สรุปภาพรวมทางเศรษฐกิจ
การส่งออกไปสหรัฐฯ ที่คิดเป็นสัดส่วน ~10% ของ GDP ดีลนี้จึงมีนัยสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และศักยภาพของประเทศในระยะยาว
ล่าสุด 30 ก.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง ได้ปรับประมาณการ GDP ในปี 2568 เพิ่มขึ้น จาก 2.1% (ประมาณการเมื่อเมษายน) เป็น 2.2% (ประมาณการเมื่อกรกฎาคม) ซึ่งรวมผลกระทบของภาษีสหรัฐแล้ว
ดีลนี้จึงช่วยรักษาการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไว้ได้ และยังทำให้ไทยแข่งขันกับประเทศอื่นได้
ทีมไทยแลนด์เดินหน้าเจรจาต่อ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน

พรรคเพื่อไทย ขอถือโอกาสนี้กล่าวขอบคุณ #ทีมไทยแลนด์ กับการทำงาน ความพยายาม และความทุ่มเทในงานเจรจาในห้วงเวลาเป็นเวลานาน ท่ามกลางความกดดันและยากจะควบคุม แน่นอนว่าภารกิจของทีมไทยแลนด์ยังไม่สิ้นสุด ยังคงเดินหน้าทำงานและเจรจาต่อไป เพื่อให้ทุกๆ การเจรจาเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน