
ก่อนที่เราจะปลุกเร้าเลือดรักชาติแบบไม่ลืมหูลืมตา ลากเอาข้อพิพาทของผืนแผ่นดิน "ช่องบก" ขนาดไม่ถึง 150 ตารางวา ให้เป็นข้อพิพาทระดับประเทศ จนถึงขั้นมีการยุให้ใช้กำลังทหารเข้าห้ำหั่น ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาให้รู้แล้วรู้รอดแบบไม่ต้องเผาผีอะไรกันนั้น
ทั้งที่ผืนแผ่นดินไทยนับหมื่น นับแสนไร่ เรากลับปล่อยให้รัฐบาลประเคนไปให้ต่างชาติเช่าใช้ยึดครองผ่านบรรดาสัมปทาน สัญญาเช่าหรือสัญญาลงทุนอะไรต่อมิอะไร ที่ประชาชนคนไทยไม่มีส่วนรู้เห็น และไม่มีโอกาสได้ย่างกราย "เฉียดใกล้"
เครือข่ายรักชาติและนักวิชาการบางคนก็ทำตัวเป็น "กูรู" จนเรานึกว่าเขาเป็น ผบ.เหล่าทัพ หรือ ผบ.สส. หรือเป็น รมต.กลาโหม เสียอีก สามารถจะวิเคราะห์ถึงความอ่อนด้อยของรัฐบาล ยัดเยียดข้อหา "รัฐบาลอ่อนแอ" ไม่ประสีประสา ทำไมไม่ส่งกองกำลังบุกขึ้นไปยึดเนินยุทธศาสตร์หรือยึดเอาต้นพญาสัตบรรณเจ้าปัญหาที่ว่ามาเสียก็สิ้นเรื่อง!

บ้างก็ว่าที่เราไป (ยอม) หงอให้กัมพูชา หรือเพราะเป็นเพื่อน "นายใหญ่" ถึงทำให้ฝ่ายความมั่นคงถูกสั่งให้ยอมเขาไปหมด ถึงขั้นที่นายทหาร (บางคน) ออกมาแสดงความก้าวร้าวหาก รมต.กลาโหม ไม่คำนึงถึงความมั่นคงประเทศ ก็คงไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งอะไรไปโน้น
"แก่ง หินเพิง" อยากย้อนประวัติศาสตร์ช่วงเวลาหนึ่งให้ทุกฝ่ายลองไตร่ตรองตามกัน เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เพราะผู้ให้ข้อมูลนี้ยังคงมีตัวตนอยู่ เป็นข้อมูลจากปากของเจ้าตัวโดยตรงก็ว่าได้ นั่นคือ "นายกร ทัพพะรังสี" อดีตรองนายกฯ และอดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) ในรัฐบาล ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ปัจจุบันท่านยังคงดำรงตำแหน่งนายกสมาคมมิตรภาพไทย- จีน ที่เจ้าตัวรับไม้ต่อมาจาก พล.อ.ชาติชาย นายกรัฐมนตรี หลังปี 2534 จนกระทั่งปัจจุบัน

ในช่วงปีก่อนปี 2518 ห้วงเวลานั้นรอบบ้านเราทั้งลาว เวียดนาม และกัมพูชานั้น ต่างถูกพรรคคอมมิวนิสต์ ภายใต้การสนับสนุนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รุกเข้ายึดครองไปหมดแล้วทั้ง 3 ประเทศ ทำให้ประเทศไทยถูก "โดดเดี่ยว" เหลืออยู่เพียงประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ที่กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก
เวลานั้นกองกำลังสหรัฐที่เคยตั้งฐานทัพอยู่ในไทย (รวมทั้งในเวียดนาม) ได้สั่งถอนกำลังออกไปหมดแล้ว ทุกฝ่ายต่างก็เชื่อว่า ประเทศไทยจะต้องถูกคอมมิวนิสต์ยึดครองตามมาอย่างแน่นอน เพราะเป็นเพียงประเทศเดียวที่เหลืออยู่ ถึงขนาดที่มีการนำภาพประเทศไทยขึ้นปกนิตยสารระดับโลกว่า Thailand Stand Alone ไปแล้ว ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ นายกฯ และพลเอกชาติชาย ในฐานะ รมต.ต่างประเทศ จะพูดคุยกันทุกคืนถึงวิกฤติภัยคุกคามที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่
"รัฐบาลพนมเปญในขณะนั้นมีการนำเอารถถัง เข้ามาจอดประชิตอยู่ชายแดนไทยตั้งแต่ปอยเปต อรัญประเทศ ไปยันโป่งน้ำร้อน จันทบุรี ตามตะเข็บชายแดนภาคตะวันออกทั้งหมด เพื่อเตรียมเคลื่อนรถถังข้ามคูเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวงได้สั้นที่สุด"
กระทั่งวันหนึ่งที่ถือเป็นการพลิกชะตากรรมครั้งประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศมาถึง จำได้ว่าในเดือนเมษายน 2518 พลเอกชาติชายได้นำเอารูปรถถังของจีนที่เจ้าหน้าที่ทหารถ่ายเอาไว้จอดอยู่ตามแนวชายแดนไทยตลอดชายแดนภาคตะวันออกพร้อมจะบ่ายหน้ามุ่งเข้าสู่เมืองหลวงมาให้หม่อมคึกฤทธิ์ นายกฯ ดู หลังนายกฯ ดูภาพรถถังเหล่านั้นเสร็จก็หันไปถามพลเอกชาติชายว่า "คุณชาติชายว่ายังไง"
พลเอกชาติชายขอเวลาปรึกษาหารือและได้เชิญ ผบ.ทุกเหล่าทัพ เข้าพบที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อปรึกษาหารือว่าจะเอายังไงกันดี ที่ประชุมวันนั้น "ตรึงเครียดมาก" โดย พล.อ.ชาติชาย ได้ถามผู้นำเหล่าทัพว่า "เราสู้เขาได้ไหม"
คำตอบที่ได้ก็คือ "เราสู้ได้" ซึ่ง พล.อ.ชาติชาย ก็ถามกลับไปในทันที "กี่วัน" เพราะท่านเคยเป็น ผบ.รถถัง มาก่อนย่อมรู้ศักยภาพของเราดี
คำตอบที่ได้ก็คือ "4 วัน" ซึ่งพลเอกชาติชายก็สวนกลับไปในทันทีว่า "แล้ววันที่ 5 ล่ะ จะให้พวกผมไปอยู่ไหน......
คำตอบคือ ..........(บด.).......
เมื่อ พล.อ.ชาติชาย นำผลประชุมหารือกับผู้นำเหล่าทัพที่ได้กลับไปแจ้งให้นายกรัฐมนตรีรับทราบที่ทำเนียบรัฐบาล ทันทีที พล.อ.ชาติชาย ท่านรายงานเสร็จ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ก็กล่าวขึ้นมาทันทีว่า "ผมต้องไปปักกิ่งโดยเร็วที่สุด"

ทันทีที่นายกฯ กล่าวถึงการเดินทางไปปักกิ่ง ความคิดเห็นและเสียงวิพากษ์อื้ออึ้งก็ปรากฏขึ้นในที่ประชุม พร้อมกับคำถามที่ว่า "ทางการจีนจะต้อนรับเราเหรอ จะเปิดทางให้เราเข้าพบผู้นำเขาได้หรือ สถานทูตไทยในไต้หวันก็ยังเปิดอยู่"
แต่นายกรัฐมนตรี ยืนกรานเราต้องไปปักกิ่ง และมอบหมายให้ พล.อ.ชาติชาย รมต.ต่างประเทศ ในเวลานั้น เป็นตัวแทนประเทศไทยทำหน้าที่ติดต่อเพื่อขอเข้าพบ "นายกรัฐมนตรี โจว เอิน ไหล" ของจีนโดยเร่งด่วน
และนั่นเป็นที่มาของการพลิกโฉมหน้าทางประวัติศาสตร์ประเทศไทย จากภัยคุกคามจากพรรคคอมมิวนิสต์ที่รายล้อมอยู่รอบบ้าน และกรุยทางมาสู้การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 หรือเมื่อ 50 ปีมาแล้ว (เนตรทิพย์: บทความพิเศษ สายใยรัก 2 แผ่นดิน... 50 ปี สายใยมิตรภาพไทย-จีน https://www.natethip.com/news.php?id=9958)
ก่อนจะเดินไปถึงการตอบโต้ด้วยกำลังทหาร คงต้องฝากให้ทุกฝ่ายได้คิดและถอดบทเรียนสงครามการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่เปิดสงครามห้ำหั่นกันมากกว่า 3 ปีแล้ว
ด้วยศักยภาพอันเหนือกว่าของรัสเซียที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจของยุโรปตะวันออกซึ่งเชื่อกันว่าสามารถจะบดขยี้ยูเครนให้แหลกเป็นผุยผงได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน 6 เดือน แต่ผ่านมาวันกว่า 3 ปีเข้าไปแล้ว รัสเซียก็ยังคงไม่สามารถจะเผด็จศึกประเทศเล็กๆ ที่เคยอยู่ในอาณานิคมของวังเคลมลินได้ด้วยซ้ำ

แล้วประเทศไทยเราที่กำลังปลุกเร้าเลือดรักชาติกันอยู่นี้คิดว่า "เราอยู่ตรงไหน" เมื่อเทียบกับรัสเซียหรือยูเครน เรามีศักยภาพทางกำลังทหาร กำลังรบ กำลังอาวุธเทียบเท่ารัสเซียหรือไม่ เราจะได้รับการโอบอุ้มและช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐและยุโรปหรือไม่
และภายใต้ความช่วยเหลือที่ว่า "ต้องแลกมาด้วยอะไร?" เราหวังพึ่งมหามิตร "มะกัน" ได้หรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน?
แน่นอนหากเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา และจีนพี่ใหญ่ในภูมิภาคนี้ด้วยแล้ว หากสงครามในภูมิภาคเกิดขึ้นจริง จีนจะเลือกอยู่ฝ่ายเรา หรือไปเข้าข้างเขมร
คิดสารตะสิ่งเหล่านี้ให้ดีก่อนที่เลือดรักชาติจะลุกโชนจนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ แล้วลองหวนกลับมาคิดกันใหม่ว่า

เวทีการเจรจาฉันท์บ้านพี่-เมืองน้อง ฉันท์มหามิตรประเทศที่เผชิญวิกฤติโควิด-19 วิกฤติเศรษฐกิจ และอะไรต่อมิอะไรมาด้วยกันนั้น จะเหมาะสมกว่าหรือไม่ มันมีวิธีอีกตั้งร้อยแปดวิธีในการตั้งโต๊ะเจรจาไม่ใช่หรือ?
ปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนอีกหลายแห่งที่ถกเถียงกันมานานกว่า 60-70 ปีแล้ว ยังไม่มีข้อยุติ จะต้องทำให้มันมีข้อยุติกันให้ได้ภายในรุ่นนี้ภายในศตวรรษนี้ให้จงได้หรือไง มันสำคัญกว่าความสัมพันธ์แบบบ้านพี่เมืองน้องสำคัญกว่าความรู้สึกเป็นมหามิตรร่วมดินแดนอย่างนั้นหรือ???
แก่งหิน เพิง