
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้แทนคณะรัฐมนตรี เสนอพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร เพื่อพิจารณารับรอง โดยในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้แยกลงคะแนนเป็น 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผู้เข้าร่วมประชุม 454 คน ลงมติเห็นชอบ 452 คน ไม่เห็นด้วย 0 คน งดออกเสียง 2 คน และฉบับที่ 2 พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผู้เข้าร่วมประชุม 455 คน ลงมติเห็นชอบ 453 คน ไม่เห็นด้วย 0 คน งดออกเสียง 2 คน เป็นอันว่าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร อนุมัติพระราชบัญญัติ 2 ฉบับดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้เริ่มต้นกล่าวถึงเหตุผลสำคัญในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้คือโดยที่ปรากฎว่ามีการนำเงินจากการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ไปซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งทำให้ยากต่อการตรวจสอบการทำธุรกรรมและการระงับการทำธุรกรรม การใช้บริการโทรคมนาคมเพื่อเพื่อกระทำผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี การนำข้อมูลบุคคลหรือผู้ถึงแก่กรรมมาใช้กระทำความผิด จึงสมควรกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีดังกล่าว และจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงกระบวนการคืนเงินให้ผู้เสียหายโดยเร็ว และการมีส่วนร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำความผิดเพื่อเยียวยาผู้เสียหายตลอดจนการกำหนดโทษในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น จึงเป็นเหตุอันไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และเพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศความปลอดภัยสาธารณะ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
นายรวี เล็กอุทัย สส.อุตรดิตถ์ อภิปรายสนับสนุนร่าง พ.ร.ก.ไซเบอร์2 ว่าเป็นกฎหมายที่มีกระบวนการเร่งรัดการคืนเงินให้กับผู้เสียหายให้รวดเร็วมากขึ้น โดยมีการแก้ไขมาตรา 9 เป็นหลักเกณฑ์การคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย มีข้อแนะนำคือ เนื่องจากเงินในบัญชีของผู้กระทำผิดส่วนใหญ่ มีเงินไม่เพียงพอที่จะชดใช้แก่ผู้เสียหาย จึงน่าจะมีหลักเกณฑ์กำหนดการบังคับคดีว่าจะบังคับคดีอย่างไรให้ใช้คืนให้ผู้เสียหายได้เหมาะสม ส่วนในมาตรการ 9 เพิ่มความเป็นมาตรา 8/5 นั้น ยังไม่ได้ระบุขั้นตอนชัดเจนว่าอำนาจในการสอบสวนคดีอาญาหรือเรื่องของลำดับการร้องทุกข์ ที่ชัดเจน เพื่อให้ชัดเจนว่าถ้ามีการแจ้งความที่สถานีตำรวจแล้วจะให้สถานีตำรวจท้องถิ่นสอบสวนดำเนินการเองหรือให้หน่วยงานใดมาสอบสวนดูแลต่อเพื่อไม่ให้คดีกองไว้ที่สถานีตำรวจท้องถิ่น ส่วนมาตรา 8/5(2) เรื่องการระงับสิทธิการเปิดบัญชีใหม่ทุกธนาคารชั่วคราว จนกว่ามีการสอบสวนว่าไม่ได้กระทำความผิดจริง และเมื่อคดีสิ้นสุดแล้วนั้น เพราะว่า เมื่อมีการจับกุมบุคคลต้องสงสัยแต่ในกระบวนการคดียังไม่สิ้นสุด ผู้ต้องสงสัยกลับเปิดบัญชีใหม่ที่ธนาคารอื่น และนำบัญชีนั้นไปก่ออาชญากรรมได้อีก ดังนั้นจึงควรที่จะระงับสิทธิเปิดบัญชีผู้ต้องสงสัยไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีจะสิ้นสุดลง เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับพี่น้องประชาชน
นายวรวงศ์ วรปัญญา สส.ลพบุรี อภิปรายว่า พ.ร.ก.ทั้งสองฉบับนี้ มีทั้งข้อดี และข้อกังวล ในข้อดี เราอาจปิดกั้นช่องทางการกระทำความผิด ป้องกันเงินในระบบที่ถูกต้องไม่ให้ไหลออกไปในมืออาชญากร แต่อีกด้าน คนที่ทำธุรกิจ ถูกต้องสุจริตอาจจะได้รับผลกระทบ แน่นอนว่า ทุกกฏหมายมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน แต่การยับยั้งบางเรื่องอาจจะไม่ได้ไปคัดปลาดีและปลาเน่า แต่เราเชื่อว่า การบล็อกทั้งปลาดีปลาเน่า ปลาดีอาจถูกปิดโอกาส ส่วนปลาเน่าคือธุรกิจสีเทาสีดำ เขาก็ต้องหาช่องทางอื่นไปขับเคลื่อนเงินสีเทาสีดำ