
กกร. วอนนายกฯ ทบทวนมติ กพช. รื้อโครงสร้าง Pool Gas
ชี้ "ดาบ 2 คม" โยนภาคอุตฯ แบกภาระก๊าซแพง!
…
เมื่อ 2-3 เดือนก่อน คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี "แพทองธาร ชินวัตร" ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อ “คัดค้านการรื้อโครงสร้าง Pool Gas ของกระทรวงพลังงาน เพราะเห็นว่า ไม่เป็นธรรมต่อภาคอุตสาหกรรม”
โดยแจกแจงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการรื้อโครงสร้าง Pool Gas ของกระทรวงพลังงาน ที่มีแนวทางในการรื้อโครงสร้าง Pool Gas ด้วยการโยนภาระราคาก๊าซสูงสุดมาให้ภาคอุตสาหกรรมแบกรับทั้งหมด ทั้งที่มีสัดส่วนการใช้เพียง 15% ของปริมาณการใช้โดยรวมทั้งประเทศเท่านั้น

กกร. ระบุว่า การผลักภาระให้ภาคอุตสาหกรรมแบกรับต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติในราคาสูงแทนภาคอื่นๆ จะทำให้ต้นทุนของภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 60% ผู้ประกอบการจะมีต้นทุนการผลิตสูงถึง 30,000 ล้านบาทต่อปี ส่งผลต่อเนื่องถึงการจ้างงานกว่า 1.9 ล้านคน ค่าครองชีพจะสูงขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นตาม
ทั้งยังจะส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันและการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม ความคาดหวังของรัฐบาลที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศจะลดลงไปโดยปริยาย นักลงทุนจะเบนเข็มไปลงทุนในประเทศอื่นแทน
ดูเหมือนข้อทักท้วงของ กกร. ข้างต้น จะไม่ได้รับการสนองตอบใดๆ จากรัฐบาล เพราะในการประชุม กพช. ที่มีนายกฯ แพทองธาร เป็นประธาน เมื่อต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา นอกจากข่าวดีเรื่องที่ กพช. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณากำหนดอัตราค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย. – ธ.ค. 68 ในอัตราไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วยแล้ว

กพช. ยัง "ไฟเขียว" ข้อเสนอของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน ในการรื้อโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ โดยอ้างว่า เป็นการกำหนดต้นทุนก๊าซธรรมชาติให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละภาคส่วน
ในแนวทางการรื้อโครงสร้าง Pool Gas ที่ รมต.พลังงาน "ตั้งแท่น" จะดำเนินการประกอบด้วย
1. ก๊าซที่เข้าและออกจากโรงแยกก๊าซให้ใช้ต้นทุนราคาก๊าซจากอ่าวไทย (Gulf Gas)
2. ก๊าซที่นำไปใช้ในการผลิต LPG สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ใช้ต้นทุนราคาก๊าซจากอ่าวไทย
3. ก๊าซสำหรับภาคไฟฟ้า และ NGV ให้ใช้ราคา Pool Gas ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของราคาและปริมาณของก๊าซ โดยเรียงลำดับความสำคัญจากแหล่งก๊าซในประเทศ ก๊าซจากเมียนมา และ LNG ตามลำดับ
และ 4. ก๊าซสำหรับภาคอุตสาหกรรมให้ใช้ต้นทุนจากราคา LNG

หากพิจารณาอย่างผิวเผิน ทุกฝ่ายย่อมมองว่า เป็นเรื่องที่ดี ทำให้ลดต้นทุนเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้า โดยยกเลิกระบบ Single Pool Gas ที่ปัจจุบันคิดเฉลี่ยเป็นราคาเดียวกันในทุกภาคส่วนแล้วโยนให้ภาคอุตสาหกรรม (ที่มีสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติเพียง 15% ของทั้งประเทศ) แบกรับภาระต้นทุน LNG นำเข้า ซึ่งมีราคาสูงที่สุดไปแทน เพราะเป็นภาคที่มีความ "แข็งแกร่งสุด"
แต่ความจริง การรื้อโครงสร้างแบบนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ สะท้อนให้เห็นว่า กระทรวงพลังงานมุ่งแต่ทำแต่นโยบายประชานิยมเอาใจฐานเสียง และมองแต่เรื่อง Maximize Vote โดยไม่ได้รับฟังเสียงสะท้อนจากฝ่ายต่างๆ อย่างรอบด้าน
ลำพังแค่เผชิญความตกต่ำทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ที่ชะลอตัวแถมอุตสาหกรรมการผลิตภายใน โดยเฉพาะเอสเอ็มอี(SME) ยังถูกสินค้าคุณภาพต่ำ-ราคาถูกจากจีนถล่มตลาด ก็หนักหนาสาหัสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไหนยังจะเผชิญเผชิญกำแพง "ภาษีทรัมป์" ที่ทำเอาอุตสาหกรรมผลิต-ส่งออกของประเทศ "หายใจไม่ทั่วท้อง" ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ ได้เป็นผลดีกับประเทศมากน้อยแค่ไหน
เมื่อต้องมาเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่มาจากนโยบายรื้อโครงสร้าง Pool Gas แล้วโยนภาระมาให้ภาคอุตสาหกรรมแบกรับเพียงกลุ่มเดียวเช่นนี้ ทั้งๆ ที่มีการประเมินกันว่า จะลดค่าไฟได้แค่ 0.15 บาท/หน่วยเท่านั้น เทียบไม่ได้เลยกับมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาทที่จะตามมา
เป็นการซ้ำเติมให้ภาคอุตสาหกรรมสูญเสียความสามารถในการแข่งขันลงไปอีก อุตสาหกรรมไทยไม่ตายวันนี้ก็ไม่รู้จะไปตายวันไหน!
ที่จริง ข้อเรียกร้องของ กกร. ที่มีไปยังรัฐบาลได้เสนอแนะให้รัฐบาลศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อลดผลกระทบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่าง "สมดุลตลอดห่วงโซ่อุปทาน" รวมถึงพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของโครงสร้างพลังงานอย่างเหมาะสมและยั่งยืน

คงต้องกราบเรียน ฯพณฯ "นายกฯ แพทองธาร" ในฐานะประธาน กพช. อีกครั้ง เสียงสะท้อน (เฮือกสุดท้าย) ของภาคอุตสาหกรรม และ กกร. ที่มีไปยังนายกฯ ในฐานะประธาน กพช. ข้างต้น เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม
หากแม้นเสียงเหล่านี้ถูกเพิกเฉยไม่ดูดำดูดี ยังคาดแต่ว่าเศรษฐกิจไทยยังหวังจะพึ่งพาแต่ "เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ ไม่ใช่กาสิโนคร้า" แล้วปล่อยให้รัฐมนตรีที่ไม่มีความรู้เศรษฐกิจ ไม่เข้าใจโครงสร้างพลังงาน คิดแต่จะฉวยโอกาสตีปี๊บนโยบายประชานิยมสุดขั้ว หวังแค่สร้างผลงานเอาใจมวลมหาประชาชนเช่นนี้
ก็ให้ระวังมันจะเป็น "ฟางเส้นสุดท้าย" ของรัฐบาลเอา หากท้ายที่สุดอุตสาหกรรมการผลิตและส่งออกของประเทศถึงครา "พับฐาน" ก็ไม่มีทางเยียวยา-กู้ซากกลับมาได้อีก!!!
แก่งหิน เพิง