
เข้าตำรา "ขว้างงูไม่พ้นคอ" และ "ทุบหม้อข้าวตัวเอง" ของแทร่!
กับมาตรการกำแพงภาษีสุดโหดในสามโลก ที่ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ อาละวาดฟาดหางเข้าใส่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ตนเองรู้สึกว่าเข้ามา "ขุดทอง" ทำมาหากินในสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นธรรม โดยประกาศปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 145% สำหรับบางประเทศอย่างจีนที่ออกมาตอบโต้สหรัฐ แบบ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน"

แต่ล่าสุด นอกจากทำเนียบขาวจะประกาศถอยร่นขยายมาตรการกำแพงภาษีของตนเองออกไป 90 วัน ยังออกมาแสดงท่าทีที่อ่อนยวบลงอย่างเห็นได้ชัด หลังเจอมาตรการตอบโต้อย่างรุนแรง ชนิด "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" จากทางการจีนที่ไม่ยอมอ่อนข้อใด ๆ ให้
โดยท่าทีอ่อนลงอย่างชัดเจนของทรัมป์นั้น เกิดขึ้นหลังเปิดสงครามการค้ากับจีนไปได้ไม่ถึงขวบเดือน โดยประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนไปถึง 145% ในขณะที่ทางการจีนก็ตอบโต้อย่างรุนแรงด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนตอบโต้ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน
แถมยังส่งสัญญาณไปยังประเทศคู่ค้าอื่นๆ ของจีน หากคิดจะไปเจรจากับสหรัฐฯ โดยยกเอาผลประโยชน์ที่มีอยู่กับจีนไปแลกมา ก็อาจเจอมาตรการดัดหลังจากจีนเช่นกัน แปลให้ง่ายก็คือ ก่อนจะไปเจรจากับมะกันอย่างไร ก็ให้คิดถึงหัวอกรัฐบาลปักกิ่งและหันไปดูผลประโยชน์ร่วมที่เคยมีอยู่กับจีนด้วย และอย่าได้คิดเอาผลประโยชน์ที่เคยมีเหล่านี้ไปแลกอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจได้เจอของจริง!
สะท้านยิ่งกว่ากำแพงภาษีของทรัมป์เสียอีก!

ล่าสุด ทางรัฐบาลปักกิ่งถึงขนาดสั่งให้สายการบินต่างๆ ของจีน ระงับการจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้ง และชิ้นส่วนทางการบินจากสหรัฐฯ ทำให้อุตสาหกรรมการบินของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง (ไม่รวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ของมะกันอย่างเทสล่า Tesla ที่ไม่ต้องคาดเดาว่า วันนี้คงไม่มีที่ยืนในจีนและอีกหลายๆ ประเทศไปแล้ว)
จนถึงขนาดที่ทำเอาทำเนียบขาว "นั่งไม่ติด" ต้องลนลานออกมาประกาศว่า เป้าหมายที่แท้จริงของการงัดมาตรการกำแพงภาษีออกมานั้น แค่ต้องการเปิดการเจรจาทำข้อตกลงทางการค่ากับประเทศต่างๆ ให้เกิดความเป็นธรรม สร้างสมดุลทางการค่าระหว่างกันเท่านั้น
ล่าสุด เมื่อ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ยังมีรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์จีนปักยังยังได้ส่งหนังสือไปถึงบริษัทต่างๆ ที่เป็นคู่ค้าในเกาหลีใต้ ที่ใช้แร่แรร์เอิร์ธจากจีนในการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้า อย่าได้ส่งออกสินค้าที่บรรจุแร่ "แรร์เอิร์ธ" ของจีนไปยังบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกลาโหมของสหรัฐฯ พร้อมขู่ถ้าไม่ทำตามจะต้องเจอกับมาตรการคว่ำบาตรจากทางการจีนตามมา

พร้อมกับระบุให้บรรดาผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ที่จะส่งออกสินค่าไปให้คู่ค้าทั่วโลกจะต้องทำเรื่องขออนุญาตจากทางการจีนก่อน เพื่อจำกัดปริมาณการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นหม้อแปลงไฟฟ้า, แบตเตอรี, จอภาพ, รถยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์ด้านการบินและอวกาศ รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์
หลังจากก่อนหน้านี้ เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา จีนได้ออกประกาศกำหนดข้อจำกัดด้านการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ ที่ถือเป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งอุตสาหกรรมไฟฟ้า การบินและเวชภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นหม้อแปลงไฟฟ้า, แบตเตอรี, จอภาพ, รถยนต์ไฟฟ้า, พลังงานสะอาด, อุปกรณ์ด้านการบินและอวกาศ รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ โดยครอบคลุมไปถึงแร่ต่างๆ ถึง 17 ชนิด ซึ่งเป็นที่รับรู้กันดีว่า จีนนั้นเป็นผู้ผลิตแร่สำคัญเหล่านี้ คิดเป็นประมาณ 90% ของโลก

โดยมาตรการจำกัดและควบคุมการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธของจีนดังกล่าวนั้น กำหนดให้ผู้ส่งออกต้องยื่นขอใบอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์จีนเสียก่อน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างกำกวม และอาจกินเวลาตั้งแต่ 6-7 สัปดาห์ หรืออาจหลายเดือนในการตรวจสอบ
เจอมาตรการหักดิบจากรัฐบาลปีกกิ่งแบบนี้ ก็ทำเอาผู้นำทำเนียบขาวแทบ "ไปไม่เป็น" เช่นกัน จนถึงกับต้องลนลานออกมาแสดงท่าทีอ่อนข้อลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่เคยหวาดผวา "หายใจไม่ทั่วท้อง" กับการจะต้องเข้าไปเจรจาต่อรองเรื่องของกำแพงภาษีกับทางการสหรัฐฯ นั้น เริ่มประหวั่นพรั่นพรึงหนักเข้าไปอีก
สัญญาณที่ "พญามังกร" ส่งเสียงคำรามออกมาดูจะน่า "สะพรึง" เสียยิ่งกว่าเสียงแต้วติวิดของพญาอินทรีย์มะกันเสียอีก!
แก่ง หินเพิง