
เห็น “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา” ที่กำลังเดินสายหาเสียงเป็นรายวันออกมาออดอ้อนประชาชนคนไทยเพื่อขอโอกากลับมาเป็นนายกฯ ต่ออีก 2 ปี จะได้ดำเนินนโยบายที่ยังคงคั่งค้างอยู่ให้ถึงจุดหมายเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าได้อย่างมีเสถียรภาพ และความมั่นคง
ท่ามกลางความอิดหนาระอาใจของผู้คน ยังจะมีนโยบายอะไรให้ ฯพณฯ ท่าน ทำอีกหรือ เพราะระยะเวลากว่า 8 ปี ที่ ฯพณฯ ท่าน บริหารประเทศมานั้นยังปรับโครงสร้างประเทศ ดำเนินนโยบายอะไรต่อมิอะไรไม่แล้วเสร็จอีกหรือ? เสียงสะท้อนของสื่อที่ให้ฉายา ฯพณฯ ท่าน “นายกฯ แปดเปื้อน” และรัฐบาล ”หน้ากากคนดี”นั้น ยังไม่เพียงพออีกหรือ?
ที่สำคัญระยะเวลา 8 ปีที่บริหารประเทศมายังไม่คิดทำอะไร แล้วเวลาที่เหลืออยู่แค่ 2 ปีจะทำอะไรได้หรือ? หรือ ฯพณฯ มั่นใจว่า “ส.ว.” ในคาถาจะ "ปลดล็อค" แก้กฎหมายรัฐธรรมนูญเปิดทางให้ท่านนั่งบริหารประเทศต่อไปได้ โดยที่ศาลทำอะไรไม่ได้ หรือไม่กล้าวินิจฉัยอย่างนั้นหรือ?
หากสแกนผลงาน “ชิ้นโบแดง” ของ ฯพณฯ ที่ทิ้งเอาไว้ประชาชนคนไทยได้ดูต่างหน้า จนผู้คนสาปส่งอย่าได้หวนกลับมาบริหารประเทศอีกเลยชาตินี้ ไม่ต้องไปควานหาไกลที่ไหน เอาแค่เรื่องค่าไฟฟ้าเรื่องเดียวประชาชนคนไทยก็สำลักค่าไฟกันจนไม่รู้จะหาอะไรมาเปรียบแล้ว
มีอย่างที่ไหนปลายปี 65 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ ฯพณฯ นายกฯ เป็นประธานแท้ๆ ให้นโยบายลงไปยัง “คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)” และ “คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)” เร่งหามาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟผันแปรอัตโนมัติ (FT) งวดเดือน ม.ค. - เม.ย. 66 โดยเฉพาะกลุ่มคนจนและกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ที่มีจำนวน 19.6 ล้านครัวเรือน หากคิดแค่ครัวเรือนละ 2 คน ก็มีผลต่อประชาชนกว่า 39 ล้านคนเลยทีเดียว
ก่อนจะได้ข้อยุติให้ตรึงค่า FT สำหรับกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย ไว้ที่ 3.70 บาทต่อหน่วย ส่วนกลุ่มที่ใช้ไฟบ้าน 301-500 หน่วยต่อเดือน ที่มีจำนวน 2.1 ล้านครัวเรือน แม้จะต้องจ่ายค่าไฟในอัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย แต่จะมีส่วนลดแบบขั้นบันได้ตั้งแต่ 15-75% ให้อยู่ ส่วนผู้ใช้ไฟประเภทอื่นๆ จะปรับขึ้นเป็น 5.33 บาท/หน่วย

แต่วันวาน กพพ. และ กบง. กลับ ”หักดิบ” ปรับสูตรการช่วยเหลือค่าไฟคนจนกลุ่มเปราะบางที่ว่านี้ใหม่อีกระลอก โดยปรับขึ้นค่าไฟกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟเดือนละ 151-300 หน่วย อีกหน่วยละ 25 สตางค์ ทำให้คนกลุ่มนี้ต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นเป็นหน่วยละเกือบ 4 บาท (เดิมจ่ายหน่วยละ 3.70 บาท) พร้อมยกเลิกส่วนลดค่าไฟ 15-75% แบบขั้นบันได สำหรับผู้ใช้ไฟระหว่าง 301-500 หน่วย ทำให้ผู้ใช้ไฟบ้านกลุ่มนี้ต้องจ่ายไฟเพิ่มขึ้น 51.50 สตางค์ต่อหน่วย เป็นหน่วยละ 4.72 บาท
การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าคนจนกลุ่มเปราะบางอย่างกะทันหันดังกล่าว ทำให้คนจนกลุ่มเปราะบางที่ต้องสำลักพิษเศรษฐกิจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต้องอ่วมอรทัยจากค่าไฟสาหัสสากรรจ์ยิ่งขึ้นไปอีก แถมผลพวงจากการที่รัฐลอยแพภาคเอกชนและอุตสาหกรรมยังส่งผลให้ราคาสินค้าและค่าบริการแพงขึ้นตามค่าไฟไปด้วยอีก!
“ลม เปลี่ยนทิศ” พี่ใหญ่ใต้ชายคาสำนักข่าวหัวเขียว ถึงกับตีแสกหน้าการปรับขึ้นค่าไฟอย่างกะทันหันในครั้งนี้ว่า เป็นการ “ถอดหน้ากากคนดี” พร้อมระบุว่า แม้จะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางถึงเหตุผลในการที่ กพช. และกระทรวงพลังงาน กลับลำขึ้นค่าไฟฟ้าแบบกะทันหันในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่สวนทางนโยบาย “นายกฯ ลุงตู่” โดยสิ้นเชิง
แต่ก็เป็นที่รับรู้กันในวงกว้างว่า เป็นเพราะรัฐบาลหันไปเอาใจนายทุนด้วยการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนที่เป็นกลุ่มทุนการเมือง จนทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) ลดลงเรื่อย ๆ โดยหยิบยกข้อมูลของ กฟผ. ที่ระบุว่า ในปี 2565 กฟผ. ผลิตไฟฟ้าเพียง 34.71% จากกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 48,700 เมกะวัตต์ ที่เหลือเป็นการซื้อไฟจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน 52.49% และรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว และมาเลเซีย 12.80% ส่งผลให้ค่าไฟแพงขึ้นทุกปี เพราะต้องซื้อไฟฟ้าจากเอกชนในราคาแพงกว่าที่ กฟผ.ผลิตเอง
ข้อมูลจาก กฟผ. ยังระบุด้วยว่า แค่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 65 (ก.ย.-ธ.ค.65) กฟผ. ต้องจ่ายค่าซื้อไฟฟ้าเอกชนกว่า 154,000 ล้านบาท โดยแยกเป็นการซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) 77,000 ล้านบาท ปีหนึ่งราว 231,000 ล้านบาท และซื้อไฟจากผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ ( IPP) อีกกว่า 53,000 ล้านบาท โดยโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก SPP จะขายไฟให้กับ กฟผ. แพงกว่าโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยต้องทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าระยะยาว 25 ปีทุกราย ทำเอาเจ้าของโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและไฟฟ้าอิสระรวยกันพุงปลิ้นทุกราย แต่คนไทย 66 ล้านคน กลับต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น

อีกสาเหตุที่ทำให้คนไทยจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ก็คือ ปริมาณสำรองไฟฟ้า หรือ Reserve Margin ที่มีเกินความต้องการไปมาก โดย กฟผ.อ้างว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าในเดือน ก.ย.65 ทั้งระบบสูงถึง 48,571 เมกะวัตต์ แต่การใช้ไฟฟ้าสูงสุดปี 2565 (เดือน เม.ย.) อยู่ที่ 32,254 เมกะวัตต์เท่านั้น ทำให้มีปริมาณสำรองไฟฟ้าส่วนเกินสูงถึง 16,317 เมกะวัตต์ กลายมาเป็นภาระที่ประชาชนต้องจ่ายเพิ่มโดยไม่รู้ตัว
จะว่าไปข้อมูลที่พี่ใหญ่ใต้ชายคาสำนักข่าวหัวเขียวตีแผ่ออกมาข้างต้น ก็เป็นข้อมูลที่ กฟผ. เที่ยวกรอกหูประชาชนคนไทยมาตลอดศกนั่นแหละ ทั้งเรื่องของปริมาณการผลิต-จัดหาไฟฟ้า และเรื่องของ Reserve Margin คงต้องการสื่อให้ผู้คนในสังคมได้เห็นว่า หาก กฟผ.เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าทั้งระบบ ประชาชนผู้ใช้ไฟคงจ่ายไฟถูกลง ไม่ต้องถูกปล้นค่า FT สูงลิบลิ่วไปเข้ากระเป๋านายทุนอย่างที่เป็นอยู่ว่างั้นเหอะ!
แต่สิ่งที่ กฟผ. ไม่ได้แจงสังคมให้กระจ่างกว่านี้ ก็คือ ไอ้ที่ว่าต้องซื้อไฟฟ้าจากเอกชนแพงลิบลิ่ว โดยเฉพาะในส่วนของการรับซื้อไฟจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก SPP นั้น เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนพลังงานทดแทน หรือพลังงานทางเลือกทั้งหลายแหล่อย่างไฟฟ้าชีวมวล โซลาร์เซลไม่ใช่หรือ
หากที่ว่าต้องซื้อไฟจากเอกชนในราคาแพงนั้น เหตุใด กฟผ. ไม่แจกแจงตัวเลขต้นทุนการรับซื้อไฟจาก IPP-SPP ให้ชัดเจนลงไป ราคาค่าไฟฐานที่รับซื้อจาก SPP-IPP แต่ละประเภทนั้นราคาเท่าไหร่ ประชาชนคนไทยจะได้รู้เช่นเห็นชาติว่าที่ผ่านมารัฐบาลประเคนค่าไฟฟ้า ประเคนกำรี้กำไรไปให้เอกชนสักกี่มากน้อย
ยิ่งในส่วนที่ต้องรับซื้อไฟฟ้าจากเพื่อนบ้าน ที่ส่วนใหญ่ก็บริษัทเอกชนของไทยที่ออกไปสร้างโรงไฟฟ้าเหล่านั้น ไม่ว่าจะโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนใน สปป.ลาว หรือจากแหล่งอื่น จะได้เอามาเปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ ว่า อัตราค่าไฟฟ้าที่รับซื้อเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าของตนเองนั้นเป็นอย่างไร แพงกว่ามากน้อยแค่ไหน อย่างไร ? จะได้เอาไปยันให้ประชาชนได้รับรู้กันว่า หากให้โรงไฟฟ้า กฟผ.ผลิตเองเสียตั้งแต่แรก ป่านนี้ประชาชนคนไทยจะได้ใช้ไฟฟ้าถูกลงไปสักกี่มากน้อย
เพราะในความเข้าใจของผู้คนนั้น เชื่อว่าราคารับซื้อไฟจากผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระรายใหญ่ IPP หรือการซื้อไฟจากประเทศเพื่อนบ้านนั้น คงไม่แพงกระฉูดไปกว่าที่ กฟผ. ผลิตได้เองแน่ เผลอๆ จะเข้ามาบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนค่าไฟในประเทศที่แพงกว่าเสียอีก และนี่ยังไม่รวมถึงว่าเมื่อต้องจ่ายไฟผ่านระบบสายส่งของ กฟผ. และอีก 2 การไฟฟ้าก่อนส่งผ่านไปยังครัวเรือนประชาชนนั้น จะบวกกำรี้กำไรเพิ่มไปอีกสักกี่มากน้อย เพราะสังคมไม่สามารถจะตรวจสอบได้
ที่เห็นและเป็นไปก็เห็นมีแต่ตัวเลขกำไรของ กฟผ. ในปี 65 ที่มีกว่า 59,000 ล้านบาทเท่านั้น ที่ทำเอาผู้คนในสังคมถึงกับอุทาน บร๊ะเจ้า! ขนาดปากบ่นว่าต้อง (จำใจ) รับซื้อไฟฟ้าแพงระยับ ทำเอานายทุนพลังงานเจ้าของโรงไฟฟ้ารวยกันพุงปลิ้น แต่กระนั้น กฟผ. ยังมีกำรี้กำไรอีกตั้ง 59,000 ล้านบาท ส่วน 2 การไฟฟ้า คือ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่รับไฟจาก กฟผ. ส่งต่อให้ชาวบ้านร้านรวงอีกทอดนั้น จะมีกำไรอีกเท่าไหร่ คงต้องวานผู้ใคร่รู้ลองเซิร์จหาจาก Google เองก็แล้วกัน

แถมสัดส่วนการผลิตไฟที่อ้างว่า กฟผ. ถูก “บอนไซ” จนเหลือกำลังผลิตอยู่แค่ 34% นั้น ก็ไม่รู้ว่าได้รวมเอาโรงไฟฟ้าที่ตนเองดอดไปร่วมทุนอย่าง บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ “เอ็กโก้ กรุ๊ป” และบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ตามนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อลดภาระการลงทุนของภาครัฐด้วยหรือไม่?
กับเรื่องของปริมาณสำรองไฟฟ้าส่วนเกิน Reserve Margin นั้นก็เช่นกันหากปริมาณสำรองไฟบ้านเรามันทะลักล้นจนจะสำลักปานนี้ แล้วทำไม กฟผ.จึงนั่งงอมืองดเท้าไม่คิดจะลุกขึ้นมาคัดง้าง คัดค้านนโยบายกกพ.และกระทรวงพลังงานที่กำลังตั้งโต๊ะจะเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสีเขียว ไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล หรือโซลาร์เซลอีกพะเรอเกวียนกว่า 5,200 เมกกะวัตต์ ที่เพิ่งเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอไปตั้งแต่ปลายปี 65 ที่ผ่านมา
เพราะหากไฟฟ้าส่วนนี้ถูกป้อนเข้าระบบ COD ในอนาคตอันใกล้ 3-5 ปีจากนี้ จะยิ่งทำให้ Reserve Margin ของไทยเราทะลักล้นไปถึง 50-60% เอาหรือ? ตกลงรัฐบาลและกระทรวงพลังงานยังมองว่า ไฟฟ้าประเทศเรายังคงขาดแคลน หรือสำรองไฟที่มียังคงมีความเสี่ยงอยู่ ถึงต้องจัดทำแผนรับซื้อไฟเพิ่มกันอีกพระเรอเกวียนแบบนี้
ขณะที่ กฟผ. ที่อ้างว่า ตนเองมีบทบาทในการบริหารจัดการไฟฟ้าและระบบสายส่งเพื่อความมั่นคงของประเทศได้ทำอะไรไปบ้างกับสิ่งเหล่านี้ ทำไมถึงปล่อยให้กระทรวงพลังงานและ กกพ.โม่แป้งกันไปตามลำพัง หรือมัวนั่งเสวยสุขอยู่บนความทุกข์ยากของประชาชนหรือไม่.. หรือคิดแต่ว่าธุระไม่ใช่ ยังไงเสียโรงไฟฟ้าเหล่านั้นก็ต้องมาผ่านโครงข่ายระบบสายส่งของตนเองหรือไง?
เป็นเรื่องที่ประชาชนเดือดร้อนขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่า จะยังให้ความเชื่อมั่นใน ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา ให้ได้กลับมาสานต่อนโยบายที่เจ้าตัวบอกว่า ยังทำไม่แล้วเสร็จกันต่อไปอีกหรือไม่ โดยเฉพาะนโยนบายพลังงานอันบิดเบี้ยวที่ว่านี้
หากยังคงเลือกพรรคการเมืองที่ ฯพณฯ จัดตั้งขึ้นมากันถล่มทลาย ก็อย่าได้ลุกขึ้นมาร้องแรกแหกกระเชอว่าค่าไฟแพง หรือเที่ยวไปโยนบาปว่า เป็นเพราะรัฐบาลเอาใจนายทุนเจ้าของโรงไฟฟ้าอะไรที่ไหน ก็เต็มใจเลือกเข้ามากันเองแบบนี้ จะให้คิดยังไง จริงไม่จริง!!!