
ยิ่งกว่ามหากาพย์ภารตะ ก็เห็นจะเป็น “ค่าโง่โฮปเวลล์” ที่จ่อระอุศึกภาค 2 หลังฝ่ายบริหารโฮปเวลล์ดาหน้าออกมาทวงคืนความเป็นธรรม อัด “คมนาคม-รถไฟฯ” ซื้อเวลาจ่ายคืนเงินชดเชยตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอนุญาโต-ศาลปกครองสูงสุด จ่อฟ้องกลับกราวรูดทั้งนักการเมือง-ข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้อง
นายคอลลิน เวียร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) พร้อมผู้บริหารโฮปเวลล์ ได้เปิดแถลงต่อสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่า นับตั้งแต่รัฐบาลไทย โดยกระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ (รฟท.) ได้บอกเลิกสัญญากับบริษัท เมื่อปี 2541 ทางบริษัทโฮปเวลล์ได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะอนุญาโตตุลาการ โดยขอให้มีคำวินิจฉัยให้ทั้งสองฝ่าย กลับคืนสู่สถานะเดิมตามกฎหมายของคู่สัญญา และคืนเงินผลตอบแทน และเงินลงทุนที่บริษัทได้ลงทุนไปแล้ว ซึ่งคณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดเมื่อปี 2551 ให้ รฟท. และกระทรวงคมนาคม คืนเงินตอบแทน เงินลงทุน รวมทั้งค่าธรรมเนียมแก่บริษัทรวมทั้งสิ้น 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่งปัจจุบัน กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ ยังคงเพิกเฉยก็มิได้ดำเนินการใดๆ ให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ยิ่งไปกว่านั้น กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ยังแสดงท่าทีที่จะไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดที่ว่านี้ โดยพยายามใช้กลไกทางกฎหมายประวิงเวลาการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดมาโดยตลอด และแม้บริษัทจะขอความยุติธรรมต่อศาลปกครองสูงสุดในการบังคับตามคำวินิจฉัยชี้ขาด โดยศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.2562 ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดข้างต้น โดยต้องจ่ายเงินชดเชย เงินลงทุนคืนแก่บริษัทภายใน 180 วัน แต่กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ก็ยังคงเพิกเฉย ไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษา

โฮปเวลล์ฮึดทวงคืนความเป็นธรรม
นายคอลลิน เวียร์ กล่าวว่า มูลหนี้เงินชดเชยที่บริษัทเรียกร้องไปนั้น หาใช่เงินของรัฐหรือประชาชน หรือค่าโง่อย่างที่ทุกฝ่ายเข้าใจกันแต่เป็นเงินลงทุนของบริษัทที่ดำเนินการลงทุนไปก่อนนับหมื่นล้านบาท และคำวินิจฉัยของคณะอนุญาโตฯ ที่ชี้ขาดให้รัฐจ่ายชดเชยคืนแก่บริษัทจำนวสน 11,888 ล้านบาทนั้น ก็ยังต่ำกว่าเงินลงทุนที่บริษัทได้ลงทุนไป เพราะเงินกว่า 2,800 ล้านบาทนั้น คือ เงินค่าสัมปทานที่บริษัทจ่ายไปให้แก่ รฟท. ขณะที่เงินลงทุนนับหมื่นล้านบาทที่อนุญาโตฯ ชี้ขาดให้รัฐจ่ายคืนแก่บริษัทนั้นก็ต่ำกว่าเงินลงทุนของบริษัทอย่างชัดเจน แต่กระนั้นกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ก็ยังไม่ยอมจ่ายคืนอยู่ดี
“เหตุที่โฮปเวลล์ต้องออกมาแถลงข่าวทวงคืนความเป็นธรรมนั้น เพราะไม่รู้ว่าจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหน เพราะคำตัดสินของอนุญาโตฯ ตั้งแต่ปี 52 จำนวน 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยที่ให้นั้น ไม่คุ้มกับเงินลงทุนที่บริษัทได้ลงทุนไป และจากมูลหนี้ 1.18 หมื่นล้านในอดีตนั้น จนถึงปัจจุบันทะยานขึ้นมาเป็นกว่า 27,000 ล้านบาทแล้ว โดยที่เรายังไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ และเราเห็นว่าการที่กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ ประวิงเวลา โดยไม่เคารพคำตัดสินของศาล นั่นเป็นสิ่งที่นักลงทุนยอมรับไม่ได้ ความพยายามของกระทรวงคมนาคม และ รฟท. นั้น มุ่งหวังแต่เพียงที่จะไม่ต้องคืนเงินให้แก่บริษัท โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อภาพลักษณ์การลงทุนของประเทศ ต่อความเชื่อมั่นการลงทุนของนักลงทุนนานาชาติ รวมทั้งไม่คำนึงถึงเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความซื่อสัตย์สุจริตในฐานะหน่วยงานภาครัฐ ที่พึงต้องให้ความเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอย่างเคร่งครัด”
พร้อมฟ้องเอาคืนนักการเมือง - ขรก.ประวิงเวลา
นายสุภัทร ติระชูศักดิ์ ฝ่ายกฎหมายโฮปเวลล์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทไม่ได้รับความเป็นธรรมย้อนหลังไปถึง 20 ปีจากการจัดตั้งบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าดำเนินโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2533 ทั้งที่มีการเซ็นสัญญา รับเงินผลประโยชน์กันไปตั้งแต่อดีต แต่กลับมาถูกคมนาคม และรถไฟฯ กล่าวหาในวันนี้ว่า การจัดตั้งเป็นบริษัทเป็นไปโดยไม่ชอบและพยายามหาทางฟ้องศาลเพื่อสั่งให้เป็นโมฆะ
"ประเด็นเรื่องการจัดตั้งบริษัทโฮปเวลล์ (ประเทศไทย) เข้าดำเนินโครงการนี้ ที่จริงก่อนดำเนินการลงนามในสัญญานั้น บริษัทได้สอบถามการรถไฟฯ และการรถไฟฯ เอง ก็มีหนังสือลงวันที่ 24 ต.ค. 33 ยืนยันมาอย่างชัดเจนว่า การจัดตั้งบริษัทโฮปเวลล์เป็นไปตามวัตถุประสงค์ทุกประการ แต่วันนี้กลับมาบอกว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้"
ท้ายที่สุด ฝ่ายบริหารโฮปเวลล์ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า จะดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลและยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อเอาผิดทั้งต่อนักการเมืองและข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้องกับการซื้อเวลา และประวิงเวลา จนทำให้บริษัทโฮปเวลล์เสียหายอย่างหนักอยู่ในเวลานี้
“ใครก็ตามที่อยู่ในข่ายที่สร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่บริษัท สร้างภาระให้ประชาชนที่จะต้องมาแบกรับในอนาคต เรายืนยันว่าจะดำเนินการฟ้องร้องคดีเอาคืนอย่างเต็มที่ ทั้งนักการเมืองและข้าราชการประจำ”