
เหลือเวลาอีกไม่เกิน 7 วัน หรือประมาณสัปดาห์เดียวนับจากนี้ การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ว่างเว้นมานายกว่า 9 ปี จะได้ฤกษ์ ก้าวสู่คูหา กากบาท เลือกหมายที่ชอบ เลือกคนที่ใช่ รวมทั้ง สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือ ส.ก.อีก 50คน รวม 50 เขต
แน่นอนที่สุด การหาเสียงย่อมเพิ่มความเข้มข้นขึ้น ในทุกเวทีหาเสียง โดยเฉพาะ คู่ชิงผู้สมัครตัวเต็ง ย่อมมีการ สาดเสียง ป้ายสี กันบ้าง ตามธรรมชาติของการเมือง ที่เป็นสัจธรรม "ไม่มีมิตรแท้ และ ศัตรูถาวร" ภาพการรวมตัวของกลุ่มผู้สมัคร 3-4 ราย ที่อยู่ใน “ก๊วน กปปส.” สุมหัว จ้องเตะสกัดขาผู้สมัครอิสระรายหนึ่ง ที่ประกาศตัวคนแรก และได้รับคะแนนนิยมนำโด่งมาตั้งแต่ต้น จากผลโพลสำนักต่างๆ ที่เห็นตรงกัน!
ทั้งหมด คือ ปรากฏการณ์ในโค้งสุดท้าย ของศึกชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.
ย้อนกลับมาดูผลโพลครั้งล่าสุด จาก "ดุสิตโพล" หรือ สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ พบว่าผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ที่คนชื่นชอบมากเป็นอันดับ 1 คือ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ 40.25%, อันดับ 2 นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 15.47%, อันดับ 3 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง 13.95%, อันดับ 4 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร 11.09%, อันดับ 5 นายสกลธี ภัททิยกุล 4.29%, อันดับ 6 น.ส.รสนา โตสิตระกูล 1.52%, อันดับ 7 น.ต.ศิธา ทิวารี 0.98%, ผู้สมัครอื่นๆ 1.89% และยังไม่ตัดสินใจ 10.56%
ประเด็นสำคัญ ที่ "ดุสิตโพล" ฉายภาพออกมาชัดเจน คือ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 82.83% ระบุว่า จะไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 22 พ.ค.65 แน่นอน และบุคคลให้ความสนใจเป็นอันดับ 1 คือ ผู้สมัครอิสระ 58.05%
ทั้งสองประเด็น เข้าทาง "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" ผู้สมัครอิสระ !

ทางด้าน "นิด้าโพล" หรือ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เผยแพร่ผลสำรวจเรื่อง “สนามเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. รอบที่ 3” สอบถามความคิดเห็น ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้ง ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 50 เขต ระหว่างวันที่ 9-10 พ.ค. 2565 พบว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ยังคงมีคะแนนความนิยมเหนือผู้สมัครคนอื่นๆ อย่างมาก อีกทั้งยังเพิ่มขึ้นกว่าการสำรวจครั้งก่อนด้วย กล่าวคือ การสำรวจรอบที่ 1 อยู่ที่ร้อยละ 38.84 รอบที่ 2 ร้อยละ 44.58 และรอบล่าสุดซึ่งเป็นรอบที่ 3 อยู่ที่ร้อยละ 45.13 โดยเหตุผลของการเลือกนายชัชชาติ คือ เป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจทำงาน มีภาวะการเป็นผู้นำ มีความน่าเชื่อถือ

ขณะที่ผู้สมัครที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 ของโพลนี้ คือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง การสำรวจรอบที่ 1 อยู่ที่ร้อยละ 10.06 รอบที่ 2 ร้อยละ 11.27 และรอบล่าสุดซึ่งเป็นรอบที่ 3 อยู่ที่ร้อยละ 11.37 โดยเหตุผลของการเลือก พล.ต.อ.อัศวิน คือ ทำงานด้วยความตั้งใจ มีประสบการณ์ และต้องการให้เข้ามาสานต่องานที่ได้ทำไว้
ตามมาด้วยอันดับ 3 คือ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคก้าวไกล การสำรวจรอบที่ 1 อยู่ที่ร้อยละ 6.02 รอบที่ 2 ร้อยละ 6.93 และรอบล่าสุดซึ่งเป็นรอบที่ 3 อยู่ที่ร้อยละ 9.75 โดยเหตุผลของการเลือก นายวิโรจน์ คือ เป็นคนรุ่นใหม่ มีวิสัยทัศน์ กล้าคิด กล้าทำ
นั่นคือ ภาพรวมของผู้สมัครตัวเต็งในลำดับต้นๆ ! แลยังเป็นสถานการณ์โค้งสุดท้าย หลังเปิดตัวชิงชัยกันมาหลายเดือน ผู้สมัครทุกคน เปลี่ยนรูปแบบการหาเสียง ด้วยการเปิดเวทีปราศรัย ตอบรับเชิญจากสื่อสำนักต่างๆ ร่วมเวทีดีเบต งัดจุดแข็ง ชูนโยบาย เรียกร้องความสนใจ ทั้ง "ขายฝัน" และ "ขายความจริง" ทีมงานเบื้องหลัง เตรียมข้อมูล มาสนับสนุนนโยบายกันอย่างครึกโครม ป้ายสมัครหาเสียง ติดกัน เต็มพรืด เสาไฟฟ้าข้างทาง
ใครมีงบมาก ก็ทุ่มเต็มที่ ใครมีงบฯ น้อย ก็ต้องกระเบียดกระเสียน แต่ส่วนใหญ่ ผู้สมัครกลุ่มตัวเต็ง ต่างและล้วนมีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ไม่ต้องห่วงเรื่อง "กระสุนดินดำ" แต่ต้องระวัง อย่าใช้เกิน 49 ล้าน ตามที่ กฎหมายกำหนด
ตัดฉับกลับมาที่ กลยุทธิ์หาเสียง โค้งสุดท้าย "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" ประกาศหนักแน่น "เป็นอิสระ ไม่สังกัดพรรคการเมือง" แต่ทำนองเดียวกัน จุดแข็งดังว่า กลับกลาย "จุดอ่อน" และเป็นประเด็นให้คู่แข่งนำมาโจมตี โดยงัดอดีตสมัยเล่นการเมืองในซีกของ "ทักษิณ ชินวัตร" ไทยรักไทย หรือ พลังประชาชน "ชัชชาติ" เคยนั่งเก้าอี้ รมว.คมนาคม และยังเคยมีชื่อเป็น แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

กรณีดังกล่าว สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จากประชาธิปัตย์ ได้นำประเด็นนี้ งัดมาโจมตี "ชัชชาติ" และ "พรรคเพื่อไทย" วางแผนเล่นละคร หลอกลวงประชาชน !!
การที่ "ชัชชาติ" ไม่ส่งผู้สมัคร ส.ก. เลยแม้แต่คนเดียว แต่กลับกัน พรรคเพื่อไทย ส่งผู้สมัคร ส.ก. ครบทั้ง 50 เขต แต่ไม่ส่งผู้สมัคร ในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. และอีกประเด็นที่ทำเอาหลายฝ่ายคล้อยตาม ตรงที่ว่า พรรคเพื่อไทย มีสีแดง เป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง และช่วงแรกๆ ป้ายหาเสียงของผู้สมัคร ส.ก. เพื่อไทย จะมีโทนสีแดงนำ... แต่ทว่า มาในโค้งสุดท้าย กลับเปลี่ยนสีโทนหาเสียงเป็นสีเขียว ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของ "ชัชชาติ" มาตั้งแต่ต้น !
ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่เหมือนกัน แม้ทั้ง "ชัชชาติ" และ "เพื่อไทย" จะยืนกรานว่า ไม่ได้ฮั้ว สุมหัวเล่นละคร แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันสอดคล้อง ต้องกันพอดี จะว่า "บังเอิญ" หรือ "จงใจ" มันก็ยากจะอธิบาย ด้วยกันทั้งคู่ และ นี่คือ จุดแข็งของ พรรคประชาธิปัตย์ "ถ้าไม่เลือกเรา เขามาแน่"
และในโค้งสุดท้ายชั่วโมงนี้ ประชาธิปัตย์ ได้นำ "กลยุทธ์" นี้มาใช้อีกครั้ง ด้วยการสร้างประเด็น "ชัชชาติ" คือ ส่วนหนึ่งของ "เพื่อไทย" และเป็นส่วนหนึ่งของ “ระบอบทักษิณ" โยงการลงพื้นที่ของ "อุ๊งอิ๊ง" แพรทองธาร ชินวัตร ช่วยหาเสียงให้ผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคเพื่อไทย เป็นอันหนึ่งอันเดียว แนบแน่นกับ "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์"
นอกจาก "ชัชชาติ-สุชัชวีร์" แล้ว ในศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ยังมีอีกบุคคลที่อยู่ในกระแส และเรียกความสนใจของชาว กทม. ได้ไม่น้อย คือ "สกลธี ภททิยกุล" บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อนร่วมรุ่นของ "บิ๊กบัง" พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ.ที่ยึดอำนาจ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง!

"สกลธี" ก่อนลงสมัครชิงผู้ว่าฯ กทม. เคยทำหน้าที่รองผู้ว่าฯ กทม. จากการผลักดันของ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่มี "ลุงกำนัน" สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาฯ กปปส. นำมวลชนเดินขบวนขับไล่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ล้มคว่ำคาเก้าอี้
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ "สกลธี" จะได้รับเสียงเชียร์จากกลุ่ม กปปส. อย่างเต็มที่ ทั้งจาก "ลุงกำนัน" , ณัฎฐพล-ทยา ทีปสุวรรณ และเครือข่าย กปปส.อื่นๆ ที่ยังรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย ที่สำคัญ แรงหนุนจากผู้ประสงค์ดี แต่ไม่ประสงค์ออกนาม ที่รู้กันอย่างลับๆ เป็นการภายใน จากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แกนนำ ที่สนับสนุนของรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
ว่ากันว่า หลังจากกระแสความนิยมของ "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" พุ่งสูง จนติดเพดานของสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ทำให้ผู้สมัครในลำดับรองๆ ลงไป กำลังหารือกันอย่างลับๆ เปลี่ยน "กลยุทธ์" ไม่หาเสียง แย่งชิงตัดคะแนนกันเอง แต่จะใช้วิธีเลือกคนใดคนหนึ่ง ชูโรงเปิดหน้าสู้กับ "ชัชชาติ" คนเดียวเท่านั้น ! และ "สกลธี ภัททิยกุล" คือ บุคคลผู้นั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นคนรุ่นใหม่ มีวิสัยทัศน์ และประสบการณ์

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกบุคคลที่มองข้ามไม่ได้ คือ "วิโรจน์ ลักขณาอดิศร" อดีตวิศวกร จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักการเมืองดาวรุ่ง จากพรรคก้าวไกล โดยมี "ไพร่หมื่นล้าน" ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้สนับสนุน และพรรคก้าวไกล ได้ส่งผู้สมัคร ส.ก. ครบ ทั้ง 50 เขต ตั้งเป้าจะให้ได้ ส.ก. เกินครึ่งหนึ่งของ กทม.
บทบาทของ "วิโรจน์" ในการหาเสียง ค่อนข้างดุดัน แข็งกร้าว ประกาศนโยบายท้าชนกับการทุจริต ไม่โปร่งใส ในโครงการต่างๆของ กทม. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตีแผ่เปิดเปิงการทุจริตในโรงไฟฟ้าขยะ "อ่อนนุช - หนองแขม"
สโลแกนของ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร คือ "เมืองที่คนเท่ากัน" ที่มุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชันเชิงโครงสร้างและสวัสดิการสังคม เพื่อแก้ไขปัญหากรุงเทพมหานครที่สั่งสมมานานจากต้นตอของปัญหา !