
เหตุการณ์ "น้ำมันรั่ว" ไหลกลางทะเลมาบตาพุด ของ บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด หรือ SPRC โดยเกิดขึ้นกลางดึกคืนวันที่ 25 ม.ค.2565 สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ต่อสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ชาวบ้าน ชายฝั่งทะเลเมืองระยอง กระทบต่อเศรษฐกิจในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญทางทะเลตะวันออกของไทย
ที่สำคัญ เหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ได้เกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ทั้งจากผู้ประกอบการรายใหญ่ อย่าง ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ "สตาร์ปิโตเลียม" ซึ่งผลกระทบที่ตามมารุนแรงมหาศาล
กลายเป็นเครื่องหมายคำถามตัวโตว่า ...แล้ว เราจะแก้ปัญหา สกัดต้นตอ ที่เกิดขึ้นจากความไม่รับผิดชอบเหล่านี้ได้อย่างไร เพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้งคราว แล้วก็ปล่อยให้เกิดขึ้นตามมาอีกอย่าง ซ้ำซาก !!
ย้อนหลังไปเมื่อปี เดือน ก.ค. 2556 ได้เกิดเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) รั่ว บริเวณ อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด นำมัน จำนวน 50,000 ลิตรไหลทะลักลงทะเล

กรณีดังกล่าว เมื่อครั้งนั้น ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล จากคณะประมง ม.เกษตรฯ บอกว่า ปริมาณสารไฮโดรคาร์บอน ในน้ำทะเลทั้ง 3 ระดับ คือ บนผิวน้ำ กลางน้ำ และใต้ท้องน้ำ ส่งผลให้ปะการัง เกิดภาวะฟอกขาวเฉียบพลัน แม้บางส่วนเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ จากการฟื้นฟูแก้ไข สัตว์น้ำเริ่มกลับเข้าสู่พื้นที่ แต่ยังคงต้องเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
"ปริมาณปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน ที่สะสมอยู่ในตะกอนทรายอ่าวพร้าวมีปริมาณลดลงตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมีการติดตามศึกษาอย่างใกล้ชิด โดยการฟอกขาวของปะการังจากน้ำมันรั่วครั้งนี้อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี จึงจะเข้าสู่ภาวะปกติ" ดร.ธรณ์ กล่าว
และเพื่อให้เห็นภาพรวมชัดเจน ต่ออุบัติภัยครั้งนี้ เรามาลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนี้
กลางดึกวันที่ 25 ม.ค. 2565 เวลา 22:10 น. สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด (สทร.) รับแจ้งเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่น SPM ห่างจากท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด 10.5 ไมล์ทะเล หรือ 16.898 กม. บริษัทแจ้งว่า น้ำมันดิบรั่วจากท่อที่ใช้ในการโหลดจากเรือ ขออนุมัติฉีดพ่นน้ำยาขจัดคราบน้ำมัน Dispersant 4 หมื่นลิตร เพื่อทำให้น้ำมันแตกตัว

อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลลงทะเลนั้น มีการตั้งข้อสังเกตจากบางฝ่ายว่า มีการร่วมกันปกปิดบางสิ่งบางอย่าง โดย “เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง” ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ ระบุว่า ได้ติดตามสถานการณ์ และส่งทีมงานเก็บข้อมูล ถ้าเทียบกับปี 2556 รู้สึกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะเป็นหายนะ จากภัยของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมครั้งที่รุนแรงที่สุด เชื่อว่ามีการใช้สารเคมีสลายคราบน้ำมันสูงมาก จากปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลทั้งหมด
ทั้งนี้ เพราะบริษัทต้นเหตุได้เปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากภาครัฐ ก็ให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน จากน้ำมันรั่ว 4 แสนลิตร แต่มาภายหลัง กลับระบุว่า มีจำนวนน้อยกว่านี้
ที่สำคัญ เหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลของ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) ไม่ใช่ครั้งแรก โดยในปี 2540 เคยเกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลในทะเลระหว่างขนถ่ายน้ำมัน จากเรือสู่สถานีน้ำมันดิบของบริษัทมาแล้วกว่า 160,000 ลิตร เมื่อเทียบกับ น้ำมันรั่วของ ปตท.จาก บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล เมื่อปี 2556 กับ ครั้งนี้ หนักกว่าถึง 3เท่าตัว
อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการแก้ปัญหา เริ่มขึ้นทันที เมื่อช่วงเช้าวันที่ 26 ม.ค. 2565 นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.), นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง, กองทัพเรือภาคที่ 1 ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล จ.ระยอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ดูสถานการณ์ ที่คำนวณว่าจะมีปริมาณ รั่วไหล 1.6 แสนลิตร หรือ 128 ตัน

ถัดมาอีก 1 วัน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม, สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข, นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผวจ.ระยอง, นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ. ได้ประชุมหาแนวทางแก้ไข และ มาตรการป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ
จากนั้น บริษัท SPRC ส่งนักประดาน้ำสำรวจจุดเกิดเหตุ พบว่า “เกิดการรั่วไหลบริเวณท่ออ่อนส่งน้ำมันด้านล่าง (Submarine Hose) ที่ไม่สามารถหาจุดเกิดเหตุได้ เพราะท่อดังกล่าวมีอายุใช้งาน 26 ปี ไม่มีเซ็นเซอร์บอกจุดที่รั่วไหลเหมือนท่อรุ่นใหม่”
กรณีนี้ ต้องถือว่าเป็นจุดบกพร่องโดยตรงของบริษัท สตาร์ ปิโตเลียม รีไฟน์นิ่ง เพราะอย่าลืมว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ครั้งแรก จึงน่าจะเป็นบทเรียนให้ทบทวนหาทางป้องกัน ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำซาก ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมทางทะเล รวมถึงวิถีชุมชน ยังไม่สามารถประเมินได้ แต่ผลที่เกิดขึ้น คือ การทำมาหากินของชาวบ้าน ร้านอาหารทะเลย่านนั้น เงียบเหงา เพราะผู้บริโภคหวั่นว่าจะต้องรับประทานอาหารที่มีสารปนเปื้อนจากน้ำมัน ขณะที่บรรดารีสอร์ต ที่พักถูกนักท่องเที่ยวยกเลิกเป็นส่วนใหญ่
เหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งนี้ คงไม่ต่างจากปี 2556 และอาจรุนแรงกว่า ในการสร้างหายนะต่อระบบนิเวศ วิถีชุมชนเศรษฐกิจ การประมง และสุขภาพ จากความกังวลของหลายฝ่าย นำไปสู่การร่วมหาทางออกของเครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

กรมควบคุมมลพิษ ใช้แบบจำลอง Oil Map ทำนายการเคลื่อนที่ของคราบน้ำมันในทะเล หากไม่มีการควบคุมป้องกัน จะเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่งทะเล บริเวณหาดแม่รำพึง เขาแหลมหญ้า หมู่เกาะเสม็ด โดยวันที่ 28 ม.ค. 2565 ปริมาณน้ำมัน 100,000 ลิตร จากภาพถ่ายดาวเทียมของ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA พบว่า เวลา 10:40 น. พบกลุ่มก้อนน้ำมันกระจายเป็นวงกว้างบริเวณอ่าวมาบตาพุด มีพื้นที่ 11.65 ตร.กม.หรือ 2 เท่าของเกาะเสม็ด อยู่ห่างชายฝั่งเมืองระยอง 16.5 กม.
ล่าสุด กรมควบคุมมลพิษ สามารถเก็บกู้คราบน้ำมันตามแนวชายหาดด้วยเครื่องดูดคราบน้ำมันได้แล้วกว่า 13 คิว ที่เหลือใช้วิธีซับคราบน้ำมัน และใช้สารขจัดคราบน้ำมัน รวมถึงขุดร่องน้ำชายหาดให้น้ำมันไหลมารวมกัน และเฝ้าระวังคราบน้ำมันในทะเล
นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุ หลังจากควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ทุกหน่วยงานจะร่วมกันประเมินสรุปความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจ ค่าเสียโอกาสทางการท่องเที่ยว การประมง การประกอบอาชีพ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมย้ำหนักแน่น ว่า “ค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาทุกบาททุกสตางค์จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย เพื่อทวงคืนจากบริษัทต้นเหตุอย่างถึงที่สุด”
วันที่ 1 ก.พ. 2565 ศูนย์ดำรงธรรม อำเภอเมืองระยอง ได้ตั้งหน่วยเคลื่อนที่รับเรื่องร้องทุกข์จากผู้ที่ได้รับผลกระทบกรณีน้ำมันรั่วไหลลงทะเลระยอง ที่ สบายสบาย รีสอร์ต ชายหาดแม่รำพึง ตำบลเพ อำเภอเมืองระยอง มีผู้มายื่นเรื่องลงทะเบียนเยียวยา ประมาณ 200 ราย
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ประเมินว่าเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในทะเลครั้งนี้ มีมวลน้ำมันในทะเล 1,713,388 ตรม. ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลชายฝั่ง และปะการัง 1,708.77 ไร่ หญ้าทะเลรวม 1,885.38 ไร่ คราบน้ำมันลอยเป็นบริเวณกว้างมีพื้นที่ 47 ตร.กม. หรือ 29,506 ไร่ ประมาณ 9 เท่าของเกาะเสม็ด และในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เกิดอุบัติภัยน้ำมันรั่วในทะเลมากกว่า 235 ครั้ง
แทบไม่น่าเชื่อว่า สถานการณ์ "อุบัติภัยน้ำมันรั่ว" ที่ผ่านมา ในช่วง 45 ปี เกิดมาแล้วกว่า 235 ครั้ง ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ ต้องมีการดำเนินคดีอย่างจริงจัง เพื่อเป็นบทเรียนให้ผู้ประกอบการต่างๆ พึงตระหนัก !