
บนความล้มเหลวสู้โควิดฯ รัฐบาลยังมีความคิดเยียวยาคนไทย น่าสนใจ...วงเงิน 3.8 แสนล้านบาท กระทรวงการคลังจะใช้จ่ายผ่านโครงการรัฐใดบ้าง? ส่วนคนไทยก็ต้อง “ปากด่า มือกดรับสิทธิ์” เพราะท้ายที่สุด! รัฐจะเรียกคืนเงินจากการขึ้นภาษีแบบมัดมือชกแน่ๆ!
ด่ากันทั่วเมือง! กับนโยบายและการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการบริหารสถานการณ์โควิด-19 จนเกิดการแพร่ระบาดระลอก 3 ที่มีความรุนแรง และการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิดฯ ที่ล่าช้า...
ครั้งแรก...เห็นแก่ได้? ปล่อยให้นักท่องเที่ยวจีน “ต้นทาง” เชื้อไวรัสโควิดฯ เข้าไทย จากนั้น...หน่วยงานทหาร ก็จัดแข่งขันชกมวย ทั้งที่...ภาครัฐและกรุงเทพมหานคร “สั่งห้าม” จนเกิดการแพร่ระบาดระลอกแรก
ถึงขั้นออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตามมาด้วยประกาศเคอร์ฟิวส์ ทั่วประเทศ...
สุดท้าย!...ล็อกดาวน์ห้ามออกนอกบ้าน และหยุดกิจกรรมต่างๆ นานา จนเศรษฐกิจและธุรกิจเสียหาย...วายป่วงไปทั่ว
แต่คนไทย “ทนได้” ยอมเจ็บเพื่อให้มันจบ!

ทว่า...ราว "ฟ้าผ่ากลางดวงใจคนไทย" เมื่อเป็นหน่วยทหารตามแนวพรมแดน มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจ “นำเข้าแรงงานต่างด้าว” ทั้งที่ช่วงนั้น...เกิดปรากฏข่าวมากมาย ว่ามีการแพร่ระบาดและติดเชื้อโควิดฯในเมียนมา
ต่อด้วย...บ่อนพนันที่ระยอง ซึ่งทั้ง 2 เหตุการณ์ ทำให้เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิดฯ ระลอก 2 ในช่วงปลายปี 2563
คนไทย...ต้องเจ็บปวดคำรบสอง แต่ก็หวังว่า...ทนเจ็บรอบนี้ แล้วทุกอย่างจะจบ!
แต่ไม่จบ! และเป็น...เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปล่อยให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าว แต่รอบนี้...เปลี่ยนจากฝั่งตะวันตก มาเป็นฝั่งตะวันออก แถมเชื้อไวรัสโควิดฯ ที่มากับแรงงานต่างด้าว ดันเป็น...สายพันธุ์อังกฤษ ที่รุนแรงยิ่งกว่าสายพันธุ์เดิมมากมาย
กระทั่ง เกิดข่าว...คลัสเตอร์ทองหล่อ และมีคนระดับ “รัฐมนตรี” และ “ทูตต่างประเทศ” ร่วมกิจกรรมพิเศษ อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
ถึงวันนี้...ยังจบไม่ลง! และคนไทยยังเจ็บไม่หาย!! ยิ่งประสานกับความล่าช้าและตัดสินใจผิดพลาดในเรื่อง...วัคซีนโควิดฯ สิ่งนี้...กลายเป็นอาการเกรี้ยวกราดของคนไทยทั้งแผ่นดิน!!!

กระแสเปลี่ยนตัว “หัวหน้ารัฐบาล” เริ่มรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ!
ระหว่างนี้ คนเป็น...“หัวหน้ารัฐบาล” อย่าง...พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงอยากจะลาออกหรือยุบสภาฯ ก็คงทำไม่ง่าย เช่นที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” เคยเขียนถึงไปก่อนหน้านี้...
(อ่านเพิ่มเติม:เนตรทิพย์:บทวิเคราะห์ อาการหนักอก! อยู่ต่อรอตาย..หนีหายก็ไม่ง่าย?
http://www.natethip.com/news.php?id=3898)
เคลียร์ใจ...สงบศึก! กับพรรคร่วมรัฐบาล ก็ทำกันไป แต่อีกด้านหนึ่ง...นอกจากเร่งจัดหาและฉีดวัคซีนโควิดฯ ให้กับคนไทยแล้ว ยังต้องเยียวยากลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากพิษโควิดฯ ไปด้วย
ทั้งกลุ่มประชาชนที่อยู่ในข่ายมีสิทธิ์รับประโยชน์จากโครงการรัฐราว 35 ล้านคน และกลุ่มเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอีอีกกว่า 3 แสนรายทั่วประเทศ
จะต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน!!!

เม็ดเงินจำนวน 3.8 แสนล้านบาท ที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า...มีเพียงพอจะนำไปใช้ดูแลระบบเศรษฐกิจ บรรเทาและเยียวยาประชาชน โดยนำมาจาก...ส่วนที่เหลือของโครงการเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ราว 2.4 แสนล้านบาท จากงบสำรองฉุกเฉินฯและเงินงบประมาณปี 2564 อีกเกือบ 1 แสนล้านบาท ที่เหลือ 4 หมื่นล้านบาท มาจากงบดูแลด้านสาธารณสุขนั้น
ได้รับการยืนยันจาก 2 คีย์แมนเศรษฐกิจของรัฐบาล เพราะทั้ง...นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกฯ และรมว.พลังงาน และ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ต่างยืนยันตรงว่า...เพียงพอโดยไม่จำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเติมแต่อย่างใด!!!
ถึงตอนนี้...ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง จะนำไปใช้ผ่านโครงการรัฐใดบ้าง?
แต่หลายฝ่ายวิเคราะห์ตรงกัน! น่าจะสานต่อโครงการ “แจกเงิน” เพื่อหวังกระตุ้นการใช้จ่าย ฉุดเศรษฐกิจที่ซบเซา ทดแทนรายได้ต่างๆ ของรัฐบาลที่หดหายไป โดยเฉพาะรายได้จากการท่องเที่ยว จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 40 ล้านคนในปี 2562 และสร้างรายได้สูงถึง 3.01 ล้านล้านบาทในปีนั้น
แม้ น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะ “โฆษกกระทรวงการคลัง” เพิ่งแถลงตัวเลขเศรษฐกิจปี 2564 สดๆ ร้อนๆ เมื่อช่วงสายวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา โดยยืนยันว่า...เศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น และการส่งออกไปยัง 15 ประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยจะเติบโตขึ้น
ทว่ารายได้จากการส่งออก ก็ไม่อาจจะกู้สถานการณ์รายได้จากการท่องเที่ยวที่หดหายไปได้

ถึงตรงนี้...โครงการรัฐที่น่าจะได้รับการสานต่อนับจากนี้ คงไม่พ้นโครงการเดิม ที่กระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงาน (บางส่วน) เคยทำกันมาก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น...
1. เราไม่ทิ้งกัน...ที่รอบนี้ จำเป็นต้องขยับเพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิ์จากเดิม 32 ล้านคน เป็น 35 ล้านคน เพื่อตัดบางโครงรัฐก่อนไป และยังจะเป็นการแจกเงินกันตรงๆ เข้าบัญชีของผู้มีสิทธิ์ คาดว่ารอบนี้...กระทรวงการคลังจะโอนเงินให้ครั้งเดียวเลย
2. คนละครึ่งเฟส 3 เพราะเป็นโครงการที่ดึงเอาเงินฝากของประชาชน เข้ามาร่วมใช้จ่ายกับเงินที่ภาครัฐสนับสนุน
3. เราเที่ยวด้วยกัน โดยเป็นการสานโครงการที่ภาครัฐเคยสั่งหยุดเอาไว้ช่วยคราว หลังพบการฉ้อฉล...ร่วมกันโกงระหว่างผู้ใช้สิทธิ์และเจ้าของ/ผู้บริหารกิจการโรงแรม(บางแห่ง)เยอะมาก
4. บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งตามแผนเดิมนั่น ภาครัฐจะล้างไพ่และจัดสรรกันใหม่ เลือกคนจนจริงๆ และดูแลครอบคลุมทั้งครอบครัว แต่เพราะสถานการณ์ไวรัสโควิดฯ จึงต้องชะลอแผนการนี้ และน่าจะใช้แนวทางเดิมที่เคยทำในช่วงต้นถึงกลายปี 2563
ส่วนโครงการเราชนะ ของกระทรวงการคลัง และ มาตรา 33 เรารักกัน ของกระทรวงแรงงาน หากจะมีก็เพราะมีคนบางกลุ่มที่เคยได้รับสิทธิ์นี้มาก่อน แต่ไม่อยู่ในข่ายจะได้รับสิทธิ์ในโครงการเราไม่ทิ้งกัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้...ทั้งผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลัง และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ต่างกำลังหารือถึงความเหมาะสมของโครงการ และสัปดาห์หน้าคงจะมีความชัดเจน
“โฆษกกระทรวงการคลัง” ยืนยันแล้วว่า...ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอโครงการและมาตรการ รวมถึงแผนงานและงบประมาณที่จะใช้ ให้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณา และหวังว่า...โครงการรัฐต่างๆ จะทัน “รอยต่อ” ของโครงการเราชนะ และ ม.33 เรารักกัน ที่จะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 30 มิถุนายนที่จะถึงนี้
หากเป็นจริง! เม็ดเงินจะถูกส่งต่อเข้าบัญชีเงินฝากของผู้มีสิทธิ์ทั้ง 35 ล้านคน ไม่เกินวันที่ 1 กรกฎาคมนี้เช่นกัน
และมีแนวโน้มว่า...รอบใหม่ ทุกคนที่ได้รับสิทธิ์ ไม่ต้องเสียเวลา แย่งสิทธิ์ ผ่านการลงทะเบียนเหมือนครั้งก่อนๆ นั่นก็หมายความว่า...สิทธิ์เหล่านั้น จะถูกส่งตรงโดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ให้ปวดหัว
ภาพโครงการรัฐจะเริ่มเห็นชัด! ในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า
ส่วนใครที่ไม่พอใจกับการบริหารและตัดสินใจที่ผิดพลาดของรัฐบาล ดังเช่นที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” เกริ่นในตอนต้น คงต้อง “ปากด่า (แต่) มือกดรับสิทธิ์” แล้วออกไปใช้สิทธิ์ในวงเงินที่ได้รับจากโครงการรัฐกันด้วย
ในความผิดพลาด ก็มีความดีที่ยังพอได้เห็น...กับการแจกจ่ายเงินให้ประชาชนได้พอประทังชีวิต ในวันที่พวกเขาไม่มีทางเลือกใช้ชีวิตสักเท่าใด?
แม้จะเป็นหนทางที่ดูจะไม่ฉลาดสักเท่าใดนัก แต่ก็ยังดีกว่า...ไม่ทำอะไรเสียเลย!
เพราะถึงอย่างไร? รัฐบาลที่กู้เงินมาใช้จ่าย ก็ต้องเรียกคืนกับคนไทยจากการ “มัดมือชก!” ขึ้นภาษีบาป สินค้าฟุ่มเฟือย ภาษีน้ำมัน ฯลฯ
เลวร้ายสุดๆ จริงๆ ก็ต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) 7% แต่จะเป็นเท่าใด? ขึ้นอยู่ที่หัวใจและความกล้าหาญ ระดับ...กล้าตาย! ของรัฐบาล นั่นแหละ!